WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

16ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวด์ตามตลาดตปท.หลังผลประชุมเฟดออกมาตามคาด/จับตาการประกาศงบฯต่อไป
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะรีบาวด์กันทั่วหน้า ตามดาวโจนส์ที่อยู่ในแดนบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมาทั้งในสหรัฐฯ และในเอเชียคาดว่าจะออกมาค่อนข้างดี ส่งผลให้ Sentiment ของตลาดฯดีขึ้น
นอกจากนี้ ผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ก็ออกมาตามคาด โดยไม่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่าจะมีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในการประชุมเดือนหน้า (มี.ค.) แต่ตลาดฯก็ยังไม่ได้กังวลมากนัก
ทั้งนี้ บ้านเราก็ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Real Sector ต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,835-1,845 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (31 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,149.39 จุด เพิ่มขึ้น 72.50 จุด (+0.28%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,823.81 จุด เพิ่มขึ้น 1.38 จุด (+0.05%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,411.48 จุด เพิ่มขึ้น 9.00 จุด (+0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 177.81 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.16 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 63.03 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 35.61 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 12.45 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.94 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 15.63 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 19.72 จุด,
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันประกาศอิสรภาพ (Federal Territory Day)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 ม.ค.61) 1,826.86 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด (+0.01%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,039.56 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (31 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 64.73ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 ม.ค.61) ที่ 7.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.35 อ่อนค่าเล็กน้อยจากวานนี้ หลัง FED มีมติคงดอกเบี้ยตามตลาดคาด
- "สมคิด" เผยผลสำรวจ ความเชื่อมั่นนักธุรกิจญี่ปุ่นของเจโทร แจงเชื่อมั่นไทยมากขึ้น 2 เท่าใน 1 ปี ระบุไม่กังวล ค่าเงินบาท-เลื่อนเลือกตั้ง พร้อมลงทุน- ส่งออกเพิ่ม เตรียมพานักธุรกิจเอสเอ็มอี เยือนญี่ปุ่นดึงลงทุนอีอีซี ชี้คณะกรรมการ ไทยนิยม นายกฯหวังแก้ปัญหา ไม่ได้หาเสียง ยันหลักการทำงานถูกต้องรับฟังปัญหารากหญ้า
- ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) คาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ปี 2561 จะขยายตัว 1.5-2.5% ขณะที่จีดีพีภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะขยายตัว 2- 3% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 65-70% โดยจีดีพีอุตสาหกรรมอาจมีโอกาสขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากไม่มีปัจจัยเศรษฐกิจโลกมากระทบ
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำถูกต้องที่ออกมาเตือนและกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีการทำธุรกรรมการทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งขัดกับมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่วนการแข็งค่าของค่าเงินบาทน่าเป็นห่วงหรือไม่ ต้องถามผู้ว่าการ ธปท.ที่เป็นผู้ดูแล
- แบงก์ชาติ ระบุตัวการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 60 เติบโต 4.0% ผลจากปัจจัยการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นตัวหนุน พร้อมทบทวนประมาณการปี 61 ใหม่ ด้านเศรษฐกิจเดือนธันวาคมเติบโตต่อเนื่อง ผลมาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้นตามต่างประเทศ
- ผู้ซื้อรถคันแรกตามโครงการรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์โวย ครอบครองครบ 5 ปีตามเกณฑ์แต่โอนไม่ได้ เหตุกรมสรรพสามิตถูก สตง.ตรวจสอบทำผิดเงื่อนไข ปล่อยประชาชนกว่า 1 แสนรายยื่นเอกสารเพิ่มเกินกำหนดขอใช้สิทธิ หากสรุปทำผิดเงื่อนไขทุกคนต้องคืนเงิน 1 แสนบาท รวมทั้งหมดกว่าหมื่นล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

- WP (บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่) กลับมาเทรดวันนี้วันแรก หลังพ้นเหตุอาจถูกเพิกถอน สังกัดกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค บริษัทฯประกอบธุรกิจค้าก๊าซ LPG ภายใต้เครื่องหมายการค้า "เวิลด์แก๊ส"
สืบเนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) (ซึ่งปัจจุบันคือ WP ที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง PICNI และ บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด (WG) เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551 เนื่องจากนำส่งงบการเงินประจำปี 2550 ล่าช้ากว่า 180 วัน ต่อมาเมื่อนำส่งงบการเงินฉบับดังกล่าวซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีปรากฏส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ 1,648 ล้านบาท รวมทั้งผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นในงบการเงิน 3 ปีติดต่อกัน
WP มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเป็นเวลา 1 ปี และงวดสะสมก่อนยื่นคำขอ ซึ่งพิจารณาจากงบการเงินประจำปี 2559 เท่ากับ 36 ล้านบาท และงบการเงินงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 เท่ากับ 108 ล้านบาท โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 เท่ากับ 675 ล้านบาท รวมทั้งสามารถแสดงได้ว่าบริษัทมีฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่มั่นคงตามสภาพธุรกิจของบริษัทไปอย่างต่อเนื่อง
- ATP30 (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.30 บาท เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้ประโยชน์ตรงจาก EEC แม้ Q4/60 จะเป็น Low Season แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้จากการเช่ารถพิเศษตามงานรื่นเริงที่เพิ่มขึ้น บวกกับมีการรับรู้รายได้จาก Autoliv และ SCCC ด้วยรถบัสรวม 28 คันเต็มไตรมาส ทำให้คาดกำไร Q4/60 ทำจุดสูงสุดใหม่ +20% Q-Q, +190% Y-Y สำหรับปี 2561 โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้น 13% เป็น 40 ลบ. (+67% Y-Y) สะท้อนจำนวนรถที่ผ่อนและตัดค่าเสื่อมหมดที่มากกว่าคาด
- BBL (ไอร่า) เป้า 234 บาท คาดกำไรสุทธิปี 61 เติบโต 11% คาดอยู่ที่ 36,635 ล้านบาท (EPS 19.19 บาท) หลักๆ จากการตั้งสำรองหนี้ ลดลง 8.60% จากปี 60 หลังเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว คาดวัฎจักร NPL เริ่มเป็นขาลง ทำให้คาดไม่ต้องตั้งสำรองหนี้จำนวนมากเช่นปี 60 พร้อมคาดโครงการลงทุนภาครัฐช่วยหนุนสินเชื่อในปี 61 หลัง BBL ร่วมกับ KTB และ SCB สนับสนุนสินเชื่อให้โครงการสายสีชมพู และเหลือง (Syndicate Loan) วงเงินกู้รวม 63,360 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนของ BBL ประมาณ 33% หรือคิดเป็นวงเงิน 21,120 ล้านบาท ซึ่งเริ่มเบิกจ่ายเมื่อช่วง Q4/60
- RSP (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 8.50 บาท แม้ช่วง Q4/60 คาดกำไรหด 43.1%YoY และกดดันให้คาดปี 60 กำไรลด 23.9%YoY แต่จะพลิกโต 24.4%YoY ในปี 61 หลังกำลังซื้อดีขึ้นบวกกับมีแผนเพิ่มจำนวนช่องทางจัดจำหน่ายและจะเริ่มรับรู้ยอดขายเต็มปีจากเริ่มจำหน่าย PONY ตั้งแต่ ก.ย. 60 และการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash company

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางดาวโจนส์ หลังเฟดคงดอกเบี้ยตามคาด
       ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับย้ำจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,276.10 จุด เพิ่มขึ้น 177.81 จุด, +0.77% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,478.67 จุด ลดลง 2.16 จุด, -0.06% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 32,950.30 จุด เพิ่มขึ้น 63.03 จุด, +0.19% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,139.40 จุด เพิ่มขึ้น 35.61 จุด, +0.32% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,578.91 จุด เพิ่มขึ้น 12.45 จุด, +0.49% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,536.93 จุด เพิ่มขึ้น 2.94 จุด, +0.08% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,748.38 จุด ลดลง 15.63 จุด, -0.18% ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ที่ 6,625.35 จุด เพิ่มขึ้น 19.72 จุด, +0.30% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันประกาศอิสรภาพ (Federal Territory Day)
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ พร้อมกับย้ำว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. พร้อมกับปรับเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยระบุว่า เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบรายปีจะปรับตัวขึ้นในปีนี้ และมีเสถียรภาพที่ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟดในระยะกลาง ขณะที่แนวโน้มความเสี่ยงในระยะใกล้ของเศรษฐกิจยังคงมีความสมดุล
นักวิเคราะห์มองว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยเนื้อหาในแถลงการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อในเดือนนี้ แตกต่างจากเดือนที่แล้ว ซึ่งเฟดระบุว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และเงินเฟ้อทั่วไป "ได้ปรับตัวลง และกำลังอยู่ในระดับต่ำกว่า 2%"
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 54.43 จุด หุ้นเหมืองแร่ร่วงหลังจีนเผย PMI ภาคการผลิตชะลอตัว
       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากทางการจีนรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตชะลอตัวลงในเดือนม.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทแคปิตอล พีซี
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,533.55 จุด ลดลง 54.43 จุด หรือ -0.72%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ปรับตัวลง 0.5% และหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 0.9% หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค. ขยายตัวที่ระดับ 51.3 ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนธ.ค.ที่ขยายตัว 51.6
หุ้นแคปิตอล พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทเอาท์ซอสรายใหญ่ ดิ่งลงอย่างหนักถึง 48% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ โดยถ้อยแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากบริษัทคู่แข่งคือ คาริลเลียน พีแอลซี ประกาศล้มละลาย เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธที่จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือบริษัท
หุ้นวิซ แอร์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ปรับตัวลง 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีลดลง เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นเทเลอร์ วิมพีย์ ดิ่งลง 2.3% หุ้นเบิร์คลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 2.1% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ปรับตัวลง 2.7%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกผลประกอบการ ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
       ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทแคปิตอล พีแอลซี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 395.46 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,189.48 จุด ลดลง 8.23 จุด หรือ -0.06% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,533.55 จุด ลดลง 54.43 จุด หรือ -0.72% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,481.93 จุด เพิ่มขึ้น 8.15 จุด หรือ +0.15%
นักลงทุนวิตกกังวลต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นแคปิตอล พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทเอาท์ซอสรายใหญ่ ดิ่งลงอย่างหนักถึง 48% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ โดยถ้อยแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากบริษัทคู่แข่งคือ คาริลเลียน พีแอลซี ประกาศล้มละลาย เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธที่จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือบริษัท
หุ้นวิซ แอร์ โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ปรับตัวลง 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีลดลง เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น
หุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลง โดยหุ้นเทเลอร์ วิมพีย์ ดิ่งลง 2.3% หุ้นเบิร์คลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 2.1% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ปรับตัวลง 2.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ปรับตัวลง 0.5% และหุ้นริโอทินโต ร่วงลง 0.9% หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค. ขยายตัวที่ระดับ 51.3 ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนธ.ค.ที่ขยายตัว 51.6
ส่วนหุ้นอิริคสัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสาร ร่วงลง 9.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4/2560 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้น H&M Hennes & Mauritz ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่น ดิ่งลง 11% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 4/2560 ร่วงลงอย่างหนักถึง 32%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ลดลงสู่ระดับ 1.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว จากระดับ 1.4% ในเดือนธ.ค. และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ส่วนจำนวนผู้ว่างงานในยูโรโซนลดลง 134,000 คนในเดือนธ.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 8.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 9 ปี

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 72.50 จุด หลังที่ประชุมเฟดคงดอกเบี้ยตามคาด
       ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุดซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับย้ำจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นโบอิ้ง หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2560 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,149.39 จุด เพิ่มขึ้น 72.50 จุด หรือ +0.28% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,823.81 จุด เพิ่มขึ้น 1.38 จุด หรือ +0.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,411.48 จุด เพิ่มขึ้น 9.00 จุด หรือ +0.12%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้น หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ พร้อมกับย้ำว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. พร้อมกับปรับเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยระบุว่า เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบรายปีจะปรับตัวขึ้นในปีนี้ และมีเสถียรภาพที่ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟดในระยะกลาง ขณะที่แนวโน้มความเสี่ยงในระยะใกล้ของเศรษฐกิจยังคงมีความสมดุล
นักวิเคราะห์มองว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คณะกรรมการเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยเนื้อหาในแถลงการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อในเดือนนี้ แตกต่างจากเดือนที่แล้ว ซึ่งเฟดระบุว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และเงินเฟ้อทั่วไป "ได้ปรับตัวลง และกำลังอยู่ในระดับต่ำกว่า 2%"
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นโบอิ้งที่พุ่งขึ้น 4.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 3.06 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้ 2.54 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าโบอิ้งจะมีกำไร 2.89 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นซีร็อกซ์ คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องถ่ายเอกสารและพริ้นเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 196 ล้านดอลลาร์ หรือ 78 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4/2560 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขขาดทุนของซีร็อกซ์ยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ หุ้นซีร็อกซ์ยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า บริษัทฟูจิฟิล์ม โฮลดิ้งส์ของญี่ปุ่นเตรียมเข้าซื้อกิจการของซีร็อกซ์ โดยรวมบริษัททั้งสองเข้าเป็น"ฟูจิ ซีร็อกซ์" เพื่อลดค่าใช้จ่าย
หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ผู้ผลิตชิพรายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.8% ขณะที่หุ้นอิเล็กทรอนิก อาร์ท ผู้ผลิตวีดิโอเกมชื่อดัง ทะยานขึ้น 7% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 4/2560
หุ้นดีอาร์ ฮอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ปรับตัวขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในไตรมาส 4/2560 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2561
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพยังคงร่วงลงและสร้างแรงกดดันต่อตลาดในระหว่างวัน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสุขภาพร่วงลง 1.2% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทอเมซอน, เจพีมอร์แกน เชส และเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ประกาศแผนจับมือกันตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะไม่มุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไร แต่จะส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน ด้วยการลดรายจ่ายด้านการรักษาสุขภาพ โดยอเมซอน, เจพีมอร์แกน และเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ มีพนักงานรวมกันทั่วโลกมากกว่า 1.1 ล้านคน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่เป็นปัจจัยที่หนุนตลาดเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 234,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง และใกล้เคียงกับระดับ 250,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่มีการเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาไปจนกระทั่งปิดการขาย
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.
--อินโฟเควสท์
OO5114

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!