- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 17 January 2018 11:34
- Hits: 4121
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวนทางลบ หลังมีสัญญาณขายทำกำไรในตลาดตปท.,ราคาน้ำมันยังไม่ผ่าน 70 เหรียญฯ/บาร์เรล
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวนในทางลบ หลังได้เห็นสัญญาณการทำกำไรของตลาดสำคัญ ๆ อย่างดัชนีดาวโจนส์ที่มีสัญญาณการกลับตัว จากที่ปรับขึ้นแรงก็ได้ปรับตัวลงมา และเช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็จะติดลบกันราว 0.2-0.55% โดยตลาดที่ติดลบ 0.55% เป็นตลาดหุ้นออสเตรเลีย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพวก Commodity อยู่ค่อนข้างมาก และตลาดหุ้นฮ่องกง ติดลบ 0.5% ก็มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ทำให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มลดความเสี่ยงกันมากขึ้น
นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานก็มีโอกาสที่จะพักฐานหลังจากที่ราคาน้ำมันไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ดังนั้น ตลาดบ้านเราจึงมีความเสี่ยงที่จะพักฐานในช่วง 2-3 สัปดาห์ มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเบื้องต้นมองการพักฐานไว้บริเวณ 1,760-1,780 จุด
พร้อมให้กรอบการแกว่งของดัชนีฯในวันนี้ไว้ที่ 1,803-1,830 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,792.86 จุด ลดลง 10.33 จุด (-0.04%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,776.42 จุด ลดลง 9.82 จุด (-0.35%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,223.69 จุด ลดลง 37.38 จุด (-0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 168.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 79.23 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 9.98 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 4.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 14.54 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ม.ค.61) 1,821.83 จุด ลดลง 0.83 จุด (-0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 530.13 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 63.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 57 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ม.ค.61) ที่ 5.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.91 แนวโน้มแข็งค่า มีลุ้นหลุด 31.90 จับตากระแสเงินทุนไหลเข้าไทย
- "อุตตม" เผยข่าวดีราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานลงแน่ๆ สัปดาห์หน้า แย้มอาจเห็น 1-3 บาทต่อ กก. หลัง คสช.ออกคำสั่ง ม.44 ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสู่การลอยตัวราคาหน้าโรงงานอิงตลาดโลกเลิกอุดหนุนราคาป้องบราซิลฟ้อง รับเสรีการค้า
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติวงเงิน งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 จำนวน 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2561 จำนวน 1 แสนล้านบาท หรือ 3.4% เมื่อเทียบกับงบประมาณปี 2561
- นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ยังไม่กระทบต่อภาพรวมรายได้ของการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากเมื่อเทียบกับปี 2560 ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 7-8% ก็ยังอยู่ได้ และหากเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน 10% ก็ยังเป็นจุดที่การท่องเที่ยวยังรับได้อยู่ ด้านสทท.หวั่นโดนเพื่อนบ้านแย่งตลาด หากปล่อยบาทแข็งค่านาน
- อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เนื่องจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ไทยกับจีน ทำให้สินค้าจากประเทศจีน 703 รายการ อัตราภาษีนำเข้าจาก 30% จะเหลือ 5% ซึ่งกรมต้องติดตามการจัดเก็บรายได้ว่า จะทำให้ภาษีลดลงไปอีกเท่าไร โดยสินค้าที่มีการลดภาษีนำเข้าจากจีนจำนวนมาก ได้แก่ กระเบื้องต่างๆ ที่ใช้สำหรับบ้านที่พักอาศัย
- ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศเผยปี 61 เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าที่ 31.8 บาท ทำสถิติแข็งค่าสุดรอบ 5 ปี กระทบส่งออกหดตัว 1.6% สูญรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท จี้คลัง-ธปท.ดูแลด่วน ชี้ปรับค่าแรงกระทบธุรกิจ ขนาดกลางหนัก แนะรัฐออกมาตรการเยียวยา-ช่วยเหลือดอกเบี้ยต่ำ
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวนในทางลบ หลังได้เห็นสัญญาณการทำกำไรของตลาดสำคัญ ๆ อย่างดัชนีดาวโจนส์ที่มีสัญญาณการกลับตัว จากที่ปรับขึ้นแรงก็ได้ปรับตัวลงมา และเช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็จะติดลบกันราว 0.2-0.55% โดยตลาดที่ติดลบ 0.55% เป็นตลาดหุ้นออสเตรเลีย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพวก Commodity อยู่ค่อนข้างมาก และตลาดหุ้นฮ่องกง ติดลบ 0.5% ก็มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ทำให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มลดความเสี่ยงกันมากขึ้น
นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานก็มีโอกาสที่จะพักฐานหลังจากที่ราคาน้ำมันไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ดังนั้น ตลาดบ้านเราจึงมีความเสี่ยงที่จะพักฐานในช่วง 2-3 สัปดาห์ มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเบื้องต้นมองการพักฐานไว้บริเวณ 1,760-1,780 จุด
พร้อมให้กรอบการแกว่งของดัชนีฯในวันนี้ไว้ที่ 1,803-1,830 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,792.86 จุด ลดลง 10.33 จุด (-0.04%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,776.42 จุด ลดลง 9.82 จุด (-0.35%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,223.69 จุด ลดลง 37.38 จุด (-0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 168.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 79.23 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 9.98 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 4.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 6.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 14.54 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ม.ค.61) 1,821.83 จุด ลดลง 0.83 จุด (-0.05%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 530.13 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 63.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 57 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ม.ค.61) ที่ 5.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.91 แนวโน้มแข็งค่า มีลุ้นหลุด 31.90 จับตากระแสเงินทุนไหลเข้าไทย
- "อุตตม" เผยข่าวดีราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานลงแน่ๆ สัปดาห์หน้า แย้มอาจเห็น 1-3 บาทต่อ กก. หลัง คสช.ออกคำสั่ง ม.44 ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสู่การลอยตัวราคาหน้าโรงงานอิงตลาดโลกเลิกอุดหนุนราคาป้องบราซิลฟ้อง รับเสรีการค้า
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติวงเงิน งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 จำนวน 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2561 จำนวน 1 แสนล้านบาท หรือ 3.4% เมื่อเทียบกับงบประมาณปี 2561
- นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ยังไม่กระทบต่อภาพรวมรายได้ของการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากเมื่อเทียบกับปี 2560 ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 7-8% ก็ยังอยู่ได้ และหากเงินบาทไม่แข็งค่าเกิน 10% ก็ยังเป็นจุดที่การท่องเที่ยวยังรับได้อยู่ ด้านสทท.หวั่นโดนเพื่อนบ้านแย่งตลาด หากปล่อยบาทแข็งค่านาน
- อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เนื่องจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ไทยกับจีน ทำให้สินค้าจากประเทศจีน 703 รายการ อัตราภาษีนำเข้าจาก 30% จะเหลือ 5% ซึ่งกรมต้องติดตามการจัดเก็บรายได้ว่า จะทำให้ภาษีลดลงไปอีกเท่าไร โดยสินค้าที่มีการลดภาษีนำเข้าจากจีนจำนวนมาก ได้แก่ กระเบื้องต่างๆ ที่ใช้สำหรับบ้านที่พักอาศัย
- ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศเผยปี 61 เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าที่ 31.8 บาท ทำสถิติแข็งค่าสุดรอบ 5 ปี กระทบส่งออกหดตัว 1.6% สูญรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท จี้คลัง-ธปท.ดูแลด่วน ชี้ปรับค่าแรงกระทบธุรกิจ ขนาดกลางหนัก แนะรัฐออกมาตรการเยียวยา-ช่วยเหลือดอกเบี้ยต่ำ
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 93 บาท ยังไม่รวมโครงการร่วมทุนกับ DTC ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจในอนาคต โดยในปี 2561 จะเป็นปีที่กำไรโตเร่งตัวที่สุดในรอบ 5 ปีด้วยอัตรา 23% จากศูนย์การค้าที่ทยอยเปิดหลังปิดปรับปรุงในปีก่อน ศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่งที่เปิดในปีที่ผ่านมา และอีก 2 แห่งเป็นอย่างน้อยที่จะเปิดในปีนี้ รวมถึงรายได้จากคอนโด Escent ที่จะเริ่มรับรู้เป็นปีแรก พร้อมมองกำไร Q4/60 ยังถูกกระทบจากการปิดปรับปรุงเซ็นทรัลเวิลด์ คาด -8.5% Q-Q, +2.4% Y-Y แต่ศักยภาพในระยะยาวมั่นคง ด้านราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE 30.6 เท่า, PEG 1.3 เท่า และ EV/EBITDA 21.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Modern trade
- CBG (ไอร่า) เป้า 125 บาท บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นประเทศอังกฤษและจีน พร้อมเดินหน้าบุกตลาดยุโรป เร่งสร้างแบรนด์สู่ระดับโลก และเจรจาคู่ค้า ในฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์ คาดมีความชัดเจนภายในปีนี้ 1–2 ประเทศ ทั้งนี้ คาดตลาดในประเทศ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ภายใต้กลยุทธ์ “Cash Vans" ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีก มากกว่า 3 แสนร้านทั่วประเทศ พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 61 – 62 เติบโตโดดเด่น +45% และ 54% อยู่ที่ 2,291 ล้านบาท และ 3,518 ล้านบาท ตามลำดับ
- PSH (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 26.25 บาท บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายและรายได้ในปี 2561 ที่ 13% และ 10% ตามลำดับ โดยจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการใหม่ 75 โครงการ มูลค่า 66.7 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12.7% YoY ทั้งนี้โครงการบ้านเดี่ยวจะเป็นสินค้าที่จะสนับสนุนการเติบโตดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นโครงการในกลุ่มพรีเมียมก็ถือเป็นอีกส่วนสนับสนุนสำคัญ นอกจากนี้บริษัทมีแผนการที่จะสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและเป็นที่หนึ่งในตลาด โดยเตรียมกลยุทธ์ 5 ข้อที่จะปรับใช้ในปีนี้ ซึ่งจะเกี่ยวกับทั้งภาพลักษณ์และการเพิ่มประสิทธิภาพภายใน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำไรเช่นกัน ทั้งนี้แผนการพัฒนาโครงการโรงพยาบาลที่แถวสะพานควายถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะสนับสนุนความมั่นคงในการเติบโตระยะยาว
- CBG (ไอร่า) เป้า 125 บาท บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นประเทศอังกฤษและจีน พร้อมเดินหน้าบุกตลาดยุโรป เร่งสร้างแบรนด์สู่ระดับโลก และเจรจาคู่ค้า ในฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์ คาดมีความชัดเจนภายในปีนี้ 1–2 ประเทศ ทั้งนี้ คาดตลาดในประเทศ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ภายใต้กลยุทธ์ “Cash Vans" ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีก มากกว่า 3 แสนร้านทั่วประเทศ พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 61 – 62 เติบโตโดดเด่น +45% และ 54% อยู่ที่ 2,291 ล้านบาท และ 3,518 ล้านบาท ตามลำดับ
- PSH (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 26.25 บาท บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายและรายได้ในปี 2561 ที่ 13% และ 10% ตามลำดับ โดยจะได้รับการสนับสนุนจากโครงการใหม่ 75 โครงการ มูลค่า 66.7 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12.7% YoY ทั้งนี้โครงการบ้านเดี่ยวจะเป็นสินค้าที่จะสนับสนุนการเติบโตดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นโครงการในกลุ่มพรีเมียมก็ถือเป็นอีกส่วนสนับสนุนสำคัญ นอกจากนี้บริษัทมีแผนการที่จะสร้างแบรนด์พฤกษาให้เป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและเป็นที่หนึ่งในตลาด โดยเตรียมกลยุทธ์ 5 ข้อที่จะปรับใช้ในปีนี้ ซึ่งจะเกี่ยวกับทั้งภาพลักษณ์และการเพิ่มประสิทธิภาพภายใน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำไรเช่นกัน ทั้งนี้แผนการพัฒนาโครงการโรงพยาบาลที่แถวสะพานควายถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะสนับสนุนความมั่นคงในการเติบโตระยะยาว
ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงเช้านี้ ตามทิศทางดาวโจนส์
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดในแดนลบเมื่อคืน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สหรัฐอาจต้องปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,783.42 จุด ลดลง 168.39 จุด, -0.70% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 31,825.52 จุด ลดลง 79.23 จุด, -0.25% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,976.13 จุด ลดลง 9.98 จุด, -0.09% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,517.19 จุด ลดลง 4.55 จุด, -0.18% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,543.36 จุด ลดลง 6.85 จุด, -0.19% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,824.55 จุด ลดลง 1.48 จุด, -0.08%
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,438.58 จุด เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, +0.06% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,879.67 จุด เพิ่มขึ้น 14.54 จุด, +0.16%
หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกชัตดาวน์ภายในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในประเด็นนโยบายรับคนเข้าเมือง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า เขาอาจยกเลิกข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายรับคนเข้าเมืองของสหรัฐที่จัดทำขึ้นบนความรอมชอมระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเบื้องต้นเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 13.21 จุด หลังหุ้นเหมืองแร่-หุ้นบีพีร่วง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (16 ม.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นบริษัทเหมืองรายใหญ่อย่างริโอทินโต และแองโกล อเมริกัน ขณะที่หุ้นบีพีร่วงลง หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2560 อาจะได้รับผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากน้ำมันรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ระเบิดที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน Deepwater Horizon
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,755.93 จุด ลดลง 13.21 จุด หรือ -0.17%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง หลังจากนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นริโอทินโต และหุ้นแองโกล อเมริกัน ลงสู่ระดับ "hold" จากระดับ "buy" โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 1.6% หุ้นอันโตฟากัสตา ดิ่งลง 2.8% และหุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 3%
หุ้นบีพีร่วงลง 2.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/2560 อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่แท่นขุดเจาะ Deepwater Horizon ในปี 2553 ซึ่งถือเป็นหายนะที่สร้างความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
ส่วนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ได้แก่ หุ้นเทสโก พุ่งขึ้น 1.9% ขณะที่หุ้นหุ้นแอสโซซิเอทเต็ด บริติช ฟู๊ดส์ (ABF) พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากนักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น ABF ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equal weight"
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.0% ในเดือนธ.ค. จาก 3.1% ในเดือนพ.ย. โดยการปรับตัวลงของดัชนี CPI มีสาเหตุจากการร่วงลงของราคาตั๋วเครื่องบิน รวมทั้งสินค้าด้านสันทนาการ โดยเฉพาะของเล่น และเกมส์
นักวิเคราะห์ระบุว่า การปรับตัวลงของดัชนี CPI ในเดือนธ.ค. จะช่วยลดแรงกดดันของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: แรงซื้อหุ้นกลุ่มรถยนต์ หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นบริษัทผลิตรถยนต์ของเยอรมนี ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกดีดตัวขึ้น หลังจากสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 398.35 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,246.33 จุด เพิ่มขึ้น 45.82 จุด หรือ +0.35% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,513.82 จุด เพิ่มขึ้น 4.13 จุด หรือ +0.07% ส่วนดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,755.93 จุด ลดลง 13.21 จุด หรือ -0.17%
หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเปอร์โยต์ ปรับตัวขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทประมาณการว่า ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของเปอร์โยต์ในปี 2560 จะเพิ่มขึ้น 15% ส่วนหุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 2.3% และหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ทะยานขึ้น 3.2% ขณะที่หุ้นคอนทิเนนทัล เอจี ซึ่งเป็นบผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 1.1%
หุ้นเทสโก พุ่งขึ้น 1.9% ขณะที่หุ้นหุ้นแอสโซซิเอทเต็ด บริติช ฟู๊ดส์ (ABF) พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากนักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์สได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น ABF ขึ้นสู่ระดับ "overweight" จากระดับ "equal weight"
หุ้นฮูโก บอสส์ เอจี ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องแต่งกายรายใหญ่ของเยอรมนี ทะยานขึ้น 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายไตรมาส 4/2560 พุ่งขึ้นแตะระดับ 900 ล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจในสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทั้งนี้ การอ่อนค่าของยูโรจะส่งผลให้สินค้าที่ผลิตโดยบริษัทส่งออกของยุโรปนั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับลูกค้าในต่างประเทศที่ต้องการซื้อสินค้าของยุโรป
นายฟรองซัวส์ วิลเลอรอย เดอ กาลอ กรรมการอีกคนหนึ่งของ ECB กล่าวว่า ECB จะต้องจับตาความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร อันเนื่องจากแรงกดดันของยูโรที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยคำกล่าวของนายวิลเลอรอยมีขึ้นหลังจากที่ยูโรพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเทียบดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 10.33 จุด เหตุหุ้นพลังงานร่วง,วิตกชัตดาวน์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (16 ม.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่สหรัฐอาจต้องปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,792.86 จุด ลดลง 10.33 จุด หรือ -0.04% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,223.69 จุด ลดลง 37.38 จุด หรือ -0.51% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,776.42 จุด ลดลง 9.82 จุด หรือ -0.35%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกชัตดาวน์ภายในสัปดาห์นี้ อันเนื่องมาจากความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในประเด็นนโยบายรับคนเข้าเมือง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่า เขาอาจยกเลิกข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายรับคนเข้าเมืองของสหรัฐที่จัดทำขึ้นบนความรอมชอมระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน
ขณะเดียวกันคณะทำงานของปธน.ทรัมป์พยายามผลักดันให้ยกเลิกโครงการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐ (DACA) ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มในสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทางด้านผู้พิพากษาศาลรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า การยกเลิกโครงการ DACA นั้นผิดต่อหลักกฎหมาย และรัฐบาลสหรัฐควรดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ชะลอตัวลงในเดือนม.ค. โดยอยู่ที่ระดับ 17.7 หลังจากแตะระดับ 18.0 ในเดือนธ.ค.
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวลง 0.6% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.1% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 1.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.2%
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 2.9% หลังจากจีอีระบุว่า การปรับพอร์ทธุรกิจด้านการประกันของจีอี แคปิตอล อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาส 4/2560 ของจีอี
ยูไนเต็ดเฮลท์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 1.9% หลังจากยูไนเต็ดเฮลท์เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 2.59 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.51 ดอลลาร์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ 5.206 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.100 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากซิตี้กรุ๊ประบุว่า ธนาคารมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.19 ดอลลาร์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ 1.7255 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเบื้องต้นเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO4555