เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้

Stock : ANAN
Price : 4.26
Target Price : 4.64
Rating : BUY

ราคาหุ้นร่วงลงมาสะท้อน Ashton อโศกที่เลื่อนโอน

Ashton อโศกเลื่อนโอน หลังไม่ได้รับใบรับรองการก่อสร้างและเปิดใช้อาคาร
          จากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้บริหาร ANAN เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันโครงการ Ashton อโศกจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่สามารถโอนได้ตามที่มีกำหนดเริ่มส่งมอบในวันที่ 26 มี.ค. 61 หลังยังไม่ได้รับใบอนุญาตรับรองการก่อสร้างก่อนเปิดใช้อาคาร (อ.6) จากกทม. เนื่องจากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นในเรื่องทางเข้า-ออกของโครงการฯ ระหว่างคู่กรณี 2 รายกับหน่วยงานกทม.และรฟม. ประเด็นดังกล่าวทำให้หน่วยงานราชการไม่สามารถพิจารณาออกใบรับรองนี้ได้ ทั้งนี้ปัจจุบัน ANAN ได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์กับทางคณะกรรมการที่อยู่ภายใต้กรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อพิจารณาอนุมัติใบรับรองการก่อสร้างและเปิดใช้อาคาร ซึ่งคาดจะใช้เวลาพิจารณาราว 60 วัน และจะทราบผลได้ภายในเดือนมิ.ย.61 โดย ANAN คาดทางราชการจะพิจารณาออกเอกสารใบรับรองดังกล่าวได้ภายในปีนี้ ดังนั้นบริษัทจึงขอขยายเวลาส่งมอบโครงการออกไปเป็นภายในวันที่ 26 มี.ค. 62

ปรับลดประมาณการกำไรปี 61 สะท้อนยอดโอน Ashton ที่หายไป
          เรามีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2561 ลงจากเดิม 22% เพื่อสะท้อนยอดโอน Ashton อโศก (JV) ที่จะหายไปราว 4.5 พันล้านบาท (เดิมคาดโอนไว้ราว 67% ของมูลค่าโครงการ 6.7 พันล้านบาท) แต่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2562 จากเดิม 6.3% เพื่อสะท้อนยอดโอน Ashton อโศกที่คาดจะเริ่มโอนได้ในปี 2562 ราว 5.7 พันล้านบาท (คาดโอนได้ราว 85% ในปี 2562 และอีก 15% ในปี 2563) โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2561 ANAN จะมีกำไรสุทธิ  1,722 ล้านบาท ยังโต 29.6%YoY และปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 2,584 ล้านบาท โตต่อ 50.1%YoY ในปี 2562 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 39.5% ในปี 2561-2562 อย่างไรก็ดีเมื่อเราศึกษากรณี Worst Case คือ ANAN ไม่ได้ใบรับรองและไม่สามารถโอนโครงการนี้ได้ จะทำให้ปี 2561 คาด ANAN มีกำไรสุทธิ 1,722 ล้านบาท โต 29.6%YoY และปี 2562 จะมีกำไรสุทธิ 2,294 ล้านบาท ยังโต 33.2%YoY ในปี 2562 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 31.4% ในปี 2561-2562 เนื่องจาก ANAN ยังมีอีก 17 โครงการที่จะเริ่มโอนในช่วง 2 ปีนี้ รวมถึงอีก 16 โครงการที่อยู่ระหว่างโอน ด้วย Backlog ในมือกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท (ไม่รวม Ashton อโศก)

ปรับลดด้วยมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ลงเป็น 4.64 บาท เพื่อสะท้อนกำไรปีนี้ที่หายไป
          แม้ผลกระทบจากการเลื่อนโอนโครงการ Ashton อโศกจะทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 2561 แต่เมื่อพิจารณาทั้งจากกรณี Base Case ที่คาดจะเริ่มโอน Ashton อโศกได้ในปี 2562 และจากกรณี Worst Case ที่ไม่สามารถโอน Ashton อโศกได้ พบว่า ปี 2561-2562 ANAN ยังมีกำไรที่เติบโตได้ดีในช่วง 31.4%-39.5% ต่อปี เพราะยังมีอีก 33 โครงการที่จะเริ่มโอนและอยู่ระหว่างโอนในช่วง 2 ปีนี้ บวกกับ ANAN ยังคงเป้าเปิดตัว 16 โครงการใหม่ในปีนี้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาทตามเดิม อีกทั้งเรามองว่า ราคาหุ้นได้ปรับลงมาเพื่อสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวแล้วจนมี Upside 8.9% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2561 (กรณี Base Case) ที่หุ้นละ 4.64 บาท (อิง PER 10.2x เช่นเดิม) และคาดให้ Div Yield ปีนี้ราว 4.2% จึงคงแนะนำ "ซื้อ" 

เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
MARKET OUTLOOK
          แกว่งตัวออกข้าง สะสมกำลัง! ดัชนี SET  ตลอดทั้งสัปดาห์ (12-16 มี.ค.) ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดเป็นเชิงบวก หลังดัชนีเคลื่อนไหวปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 36 จุด เทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสี่วันติดต่อกันก่อนเจอแรงขายวันสุดสัปดาห์ ส่งผลดัชนีปิดบวกลดลงที่ระดับดัชนี 1,811.76 จุด อย่างไรก็ดี ในกราฟรายวัน แท่งเทียนช่วงท้ายสัปดาห์ ทำแท่ง Doji ส่งสัญญาณอ่อนกำลังลง ประกอบกับสัญญาณ Bearish Divergence เองยังคงอยู่ RSI เองก็เริ่มโค้งตัวลง ปัจจัยทางเทคนิคเหล่านี้ทำให้เราให้น้ำหนักว่า SET มีโอกาสที่ย่อตัวในลักษณะแกว่งตัวออกข้าง Sideway โดยมองกรอบการแกว่งตัว 1,760-1,820 จุด  ฉะนั้นกลยุทธ์รายสัปดาห์ที่เหมาะสม ทะยอยซื้อเมื่อ SET ย่อตัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยง และความผันผวนที่จะสูงขึ้น Stop Loss หากดัชนีหลุด 1,760 จุด เนื่องจากมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงแรง  สำหรับกลุ่มที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือกลุ่มที่น่าจะ Outperform ตลาดได้ เราเลือกมาสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ MEDIA (หุ้น : MONO) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CONS (หุ้น : STEC,UNIQ)

STOCK HUNTER 
          Point of view   AAV ราคานี้น่าสนใจ! … หลังจากราคาหุ้นลงมาลึกพอสมควร โดยกราฟรายวัน เริ่มเห็นอาการดีดตัวสู้ สนับสนุนด้วยสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิคทั้ง Bullish Divergence จาก MACD บ่งบอกถึงมีความเป็นได้สำหรับการกลับตัวจากแนวโน้มลงเป็นขึ้น และ MACD เองโค้งตัวตัดเหนือเส้น Signal ขึ้นมาได้ ประกอบกับราคาเคลื่อนไหวลักษณะคล้ายการทำ Double Bottom ซึ่งหากฟอร์มตามคาด จะมีราคาเป้าหมายไกลถึง 6.50 บาท แต่อย่างไรก็ดีคงต้องทดสอบแนวต้านที่ 5.95 บาทก่อน โดยราคาปิดปัจจุบันถือว่าเป็นแนวรับหรือซื้อกลับ หวังรีบาวด์ขึ้นแนวต้าน ทั้งนี้มี Stop Loss ที่ 5.25 บาท

เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
SET50 Index Futures

มุมมองทางทฤษฎี: ตลาดมองระยะสั้นดัชนีลงต่อ!!!
          BASIS (S50H18-SET50): เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ S50H18 ปิดลบด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis ลดลงจากวันก่อนหน้า 1.83 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -3.0 จุด ต่ำกว่า Theory Basis ที่ +0.40 จุด สะท้อนมุมมองเป็นลบในระยะสั้น (          PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.29 ลดลงจากวันก่อนหน้า 0.25x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 1.21x ใกล้เคียงจากวันก่อนหน้า ซึ่งขณะนี้ PUT/CALL Ratio ทั้งฝั่ง Volume และ OI อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แสดงให้เห็นถึงการกลัวความเสี่ยงพักฐานขาขึ้นของดัชนี (ดูรายละเอียดจากหน้า 2)
          Fund Flow Analysis: แม้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Net Long 1,793 สัญญา ใน Index Futures แต่กลับมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 1,442 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มต้นปี 2561 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะขายสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) เพิ่มเป็น 54,078 ล้านบาท

Technical Analysis

มุมมองด้านเทคนิค: คาดแกว่งลงมาปิด Gap!!!
          เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ S50H18 แกว่งลงจนปิด -4.6 จุด ปรับตัวลงต่อหลังไม่ผ่านแนวต้านกรอบบน Sideway ที่ 1,197.5 จุด โดยสัปดาห์นี้ดัชนียังคงต้องระวันแรงขาย เพราะ Indicator ระยะสั้นบ่งชี้ว่าดัชนีมีโอกาสจะลงมากกว่า มีดังนี้ 1) ในกราฟ 120 นาทีเทรนด์ขาขึ้นของ S50H18 เริ่มอ่อนแอ โดยค่า MACD ของ S50H18 เริ่มพลิกกลับมาต่ำกว่าค่า Signal และ 2) ในกราฟ 120 นาทีโมเมนตัมขาขึ้นของ S50H18 เริ่มหมดแรง โดย RSI ปรับตัวลงในเขต Positive Zone อย่างต่อเนื่องจนเข้าใกล้ 50% ดังนั้นมองสัปดาห์นี้ดัชนีอาจลงกลับมาปิด Gap Up ที่เคยเปิดทิ้งไว้ตรง 1,174.5

บล.เออีซี : Daily Focus
 
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
AECS Daily Focus
          Trading Idea: AAV

Connect the World- (P.2)
          ตลาดหุ้นทั่วโลกปิดบวก หลังดัชนีความเชื่อมั่นสหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 14 ปี

Market Outlook
          สัปดาห์ก่อนดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,811.75 จุด เพิ่มขึ้น 2.05%WoW โดยรีบาวด์ยืนเหนือ 1,800 จุด ด้วยแรงซื้อหุ้นหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี, สื่อสารและโรงแรม อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมามีสถานะซื้อสุทธิในไทย อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นของดัชนียังจำกัด หลังตลาดยังจับตานโยบายการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์ทางการเมืองของสหรัฐฯ
          สัปดาห์นี้คาด SET แกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1,790-1,840 จุด หลังรอติดตามผลประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค. นี้ ซึ่งล่าสุด Bloomberg Consensus 94.4% คาดเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย0.25% สู่ระดับ1.50-1.75%

Market Factors
          (+) ตลาดหุ้นDJIA ปิด +0.29%DoDหลังข้อมูล ศก.สหรัฐฯ ยังทยอยออกมาสดใส
          (+) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด +1.9%DoD รับความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. ของสหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
          (+/-) สัปดาห์นี้ติดตามข้อมูล ศก.สหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ยอดขายบ้านมือสอง ก.พ., สต็อกน้ำมันดิบจาก EIA, ยอดขายบ้านใหม่ ก.พ.รวมทั้งการประชุมนโยบายการเงินของ FED และ BoE, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของสหรัฐและประเทศในกลุ่มยูโรโซน

Investment Strategy
          แม้ภาพตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ระหว่างจับตานโยบายการค้าของสหรัฐและผลประชุมนโยบายการเงินของเฟดแต่ด้วยพื้นฐานศก.ไทยยังมีความแข็งแกร่งและส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน จึงทำให้เราคงแนะนำกลยุทธ์"Selective Buy"หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
          1) หุ้นพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งได้อานิสงส์ราคาน้ำมันทรงตัวสูงและดีมานด์น้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น : PTT, PTTEP, PTTGC
          2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กสทช. เล็งเสนอ ครม. ออกมาตรการผ่อนผันจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่น 900MHZ และพักค่าธรรมเนียมทีวีดิจิทัล : TRUE, ADVANC, MONO, RS
          3) หุ้นโรงแรมได้อานิสงส์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่ง โดยช่วง ม.ค.- ก.พ. 61 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเติบโตถึง 14.9%YoY : MINT, ERW
          4) หุ้นที่จ่ายปันผลสูงซึ่งเดือน เม.ย.-พ.ค. นี้ จะขึ้น XD โดยให้ Div. Yield เกิน 3% : KKP, AIT, SC, AP, LH

Market Talk and News
          SAWAD (BUY:TP@71): ปี 61 คาดกำไรโต 38.4%YoY จากฐานลูกหนี้ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากดีมานด์ที่มีอยู่มากและแผนขยายสาขาอีก 300 สาขา บวกกับ NIM คาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 4Q60 รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงานคาดลดลง หลังพ้นช่วงปรับโครงสร้างเป็นกลุ่มธุรกิจการเงิน + ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 8% จึงคงแนะนำ "ซื้อ"
          AAV (BUY:Consensus [email protected]): ปี 61 คาดกำไรโต12.6%YoY หนุนด้วยเป้าหมายจำนวนผู้โดยสารปีนี้ที่ 23.2 ล้านคนเติบโต 17%YoY และแผนปรับเพิ่มค่าโดยสารเฉลี่ยทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศเป็น 1,650 บาท/คน โต  4-5%YoY  + Upside 21.3%
          TMB (BUY:[email protected]): ปี 61 คาดกำไรโต 18%YoY หนุนด้วยเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้ที่ 10%YoY โดยเน้นสินเชื่อที่มี Spread สูงขึ้น บวกกับ รายได้ค่าธรรมเนียมที่โตสดใสจากรับรู้รายได้ธุรกิจประกันภัยของ FWD ขณะที่ NPL คาดดีขึ้นจากปีก่อนตามภาวะ ศก. ไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น +Upside 12% และคาดให้ Div. Yield 2.5% จึงแนะนำ "ซื้อ"

Quantitative Screening
          หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก BCH, AH

AECS - Fundamental and Strategic Team
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445)          [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432)          [email protected]
ตฤณ  สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364)          [email protected]
จิรภัทร  โบสุวรรณ (ID. 040051)          [email protected]
ธีรยุทธ  ฤทธิเผ่าพันธุ์          ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์          Data Support / Secretary
OO6664