- Details
- Category: บลจ.
- Published: Friday, 14 July 2017 16:59
- Hits: 4917
บลจ.ธนชาต เปิดขายกองตราสารหนี้ 1 และ 3 ปี ชูผลตอบแทนประมาณ 1.85-2.5% ต่อปี
บลจ.ธนชาต เปิดขายกองทุนตราสารหนี้อายุ 1 ปี (T-FixFIF1Y18) และ 3 ปี (T-Fixed3YR11) เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศและหุ้นกู้ในไทยคุณภาพดี ผลตอบแทนประมาณ1.85-2.5% ต่อปี เปิดขายระหว่างวันที่ 18-25 ก.ค.นี้
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต กล่าวว่า กองทุนเปิดธนชาตราสารหนี้ต่างประเทศ 1Y18(T-FixFIF1Y18) เป็นกองทุน ตราสารหนี้อายุประมาณ 1 ปี ประมาณการผลตอบแทนไว้ที่ 1.85% ต่อปี เน้นลงทุนในเงินฝากต่างประเทศคือ China Construction Bank (China), Bank of China, Agricultural Bank of China (China) และIndustrial and Commercial Bank of Chinaในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 19%นอกจากนั้นยังมีตราสารหนี้ของ Malayan Banking Berhadที่คาดว่าจะลงทุนในสัดส่วน 14% และเงินฝากของ Union National Bank สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่คาดว่าจะลงทุนในสัดส่วน 9.5% ส่วนพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย/ตั๋วเงินคลังจะลงทุนประมาณ 0.50% ประมาณการค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายไว้ที่ 0.0927%
และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ 3YR11(T-Fixed3YR11) เป็นกองทุนตราสารหนี้อายุประมาณ 3 ปี ประมาณการผลตอบแทนไว้ที่ 2.5% ต่อปี โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดีของไทยคือ หุ้นกู้ บมจ.กรุงไทย คาร์เร้นท์แอนด์ลีส (15.63%) หุ้นกู้ บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ (12.50%) หุ้นกู้ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น (6.25%) หุ้นกู้ บมจ.ลลิลพร็อพเพอร์ตี้ (12.50%) หุ้นกู้ บจ.เงินติดล้อ (8.75%) หุ้นกู้ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (16.88%) หุ้นกู้ บมจ.เบทาโกร (10%) หุ้นกู้มีผู้ค้ำประกัน บจ.อมตะบี.กริมเพาเวอร์เอสพีวี (13.75%) หุ้นกู้ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (3.13%) และพันธบัตร (0.63%)
"ตลาดตราสารหนี้เริ่มมีแนวโน้มจะผันผวนมากขึ้นทำให้ผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงมากนัก แต่ยังต้องการลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากทั่วไปหันมาให้ความสนใจกองทุนตราสารหนี้แบบมีกำหนดอายุ หรือกองทุนที่มีการประมาณผลตอบแทน มากขึ้นกว่าเดิม บลจ.ธนชาต จึงออกกองทุนตราสารหนี้อายุ 1 ปี และ 3 ปีมาตอบสนองความต้องการดังกล่าว"นายบุญชัย กล่าว
สำหรับ ภาพรวมตราสารหนี้ไทยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นปรับตัวลดลงระหว่าง -0.01% ถึง -0.04% ในระหว่างสัปดาห์จากปริมาณพันธบัตรที่มีอยู่จำกัดแต่สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงโดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 เดือนปรับตัวลดลงมากที่สุด -0.04% มาอยู่ที่ 1.32% ต่อปี ณ วันที่ 13 ก.ค.60
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 19 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด +0.03% เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรรัฐบาลไทยโดยเฉพาะตราสารที่มีอายุคงเหลือยาวเพื่อทำกำไรออกไปบางส่วน โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ( 7-13 ก.ค.60)
ทางด้านตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯหลังจากที่เจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสว่าเฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนการปรับลดงบดุลจะปรับลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยังมีความกังวลถึงอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่เติบโตช้าลงนั้น ทำให้ ณ วันที่ 13 ก.ค. 60 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีและอายุ 10 ปีปรับตัวลดลง -0.04% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนมาอยู่ที่ 1.36 % และ 2.35% ต่อปีตามลำดับ