- Details
- Category: บลจ.
- Published: Wednesday, 23 September 2015 22:28
- Hits: 2101
บลจ.ไทยพาณิชย์ คาด AUM ปีนี้โต 3-4% หลังไพรเวทฟันด์-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตดี
บลจ.ไทยพาณิชย์ คาด AUM ปีนี้โต 3-4% หลังไพรเวทฟันด์-กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตดี ขณะที่มองเทรนด์เงินทุนต่างชาติยังไหลออก มีไหลกลับบ้างแค่ช่วงสั้น หลังเฟดคงดอกเบี้ย พร้อมมองรัฐกระตุ้น ศก.-เงินบาทอ่อนค่า หนุนดัชนีฯช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสแตะ 1500 จุด
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด คาดว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ปีนี้จะเติบโต 3-4% จากปีก่อนที่ 1.09 ล้านล้านบาทโดยปัจจุบันสามารถทำ AUM ได้แล้ว 1.1 ล้านล้านบาท เป็นผลจากกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนตลาดเงิน ที่ในปีนี้ยังคงเติบโตได้ดี ในขณะที่มูลค่ากองทุนตราสารหนี้หายไปกว่า 8 หมื่นล้านบาทนับจากต้นปี-ปัจจุบัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเปิดกองทุน 99 กองทุน โดยแบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ที่กำหนดระยะเวลาในการลงทุนกว่า 80 กองทุน ทริกเกอร์ฟันด์ 6 กองทุน และกองทุนเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ (FIF) 3 กองทุน และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย 1 กองทุน
"AUM ในปีนี้คาดจะโต 3-4% จากปีก่อนที่มี AUM 1.09 ล้านล้านบาท โดยการเติบโตในปีนี้ถือว่ายังเติบโตแต่ก็ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้ แต่ถือว่าโตมากกว่าหรือเท่ากับอุตสาหกรรม โดยกองทุนที่ขับเคลื่อนยังคงเป็นกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนตลาดเงิน" นายสมิทธ์ กล่าว
นายสมิทธ์ กล่าวต่อว่า มองว่าแนวโน้มทิศทางของเงินทุนต่างชาติในปีนี้จะยังคงไหลออกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องจากปี 2556 แม้ว่าหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ จะทำให้มีเงินไหลกลับเข้าในประเทศ แต่น่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ เงินต่างชาติที่ไหลออกไปก็จะกระจายการลงทุนไปทั่วโลกโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่
สำหรับ ค่าเงินบาทในปีนี้ มองว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 36.00-37.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งแนวโน้มยังคงอ่อนค่าตามค่าเงินภูมิภาคและจะอ่อนค่าต่อเนื่องถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ค่าเงินบาทของไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
"แนวโน้มเงินไหลกลับเข้าไทยจะมีแค่ในช่วงระยะสั้น คือหลังจากที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ย แต่สำหรับเทรนด์ยังเป็นเงินไหลออก ซึ่งถือว่าปีนี้จะมีเงินไหลออกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยเงินที่ไหลออกจะกระจายไปทั่วโลกใน New Market"นายสมิทธ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะเกิดปัจจัยที่ไม่คาดฝันในเชิงบวก ( positive surprise)โดยจะมาจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีการช่วยเหลือรากหญ้าจะส่งผลทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบและมีกำลังซื้อมากขึ้น ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่คลายความกังวลในเรื่องเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ เงินบาทในปัจจุบันที่อ่อนค่า ประกอบกับ Global Market ที่ยังเติบโตได้ดี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสปรับขึ้นถึง 1500 จุด โดยแนะลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ได้รับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่ดูเหมือนจะแย่ แต่มีแนวโน้มฟื้นตัว อาทิเช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน และสุดท้ายหุ้นที่ได้รับผลดีจากตลาดโลก
นายสมิทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้เตรียมเสนอขายกองทุนต่างประเทศพร้อมกัน 2 กองทุน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ (SCBGIF) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ(SCBRMGIF) มูลค่ากองทุนละ 5 พันล้านบาท โดยจะนำไปลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ซึ่งจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ Deutsche Invest I Global Infrastructor : Share Class FC Eur ในสกุลเงินยูโรเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-5 ต.ค. 58 ด้วยเงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
กองทุนนี้ จะเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาในสภาวะหุ้นที่ผันผวน แต่กองทุนที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยังคงเติบโตได้ดี โดยความผันผวนยังต่ำ และยังสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ และมีเงินปันผลที่ดีซึ่งการลงทุนในกองทุนนี้จะได้เงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยผลงานโดดเด่นย้อนหลัง 3 ปี จะให้ผลตอบแทนกว่า17.9% ต่อปี และย้อนหลัง 5 ปีได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 16% ต่อปี และในปีนี้คาดว่าผลตอบแทนจะอยู่ที่ 8-10%
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย