- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 03 August 2015 22:51
- Hits: 6251
บลจ.ทหารไทย ตั้งเป้า AUM ปี 59 แตะ 2.5 แสนลบ.,ลุ้น SET H2/58 ผ่าน 1,500
บลจ.ทหารไทย ต้งเป้าหมายมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 59 จะขึ้นไปแตะ 2.5 แสนล้านบาท จาก 2.2 แสนล้านบาทในปัจจุบัน ตามการเติบโตของ 3 กองทุนหลัก ทั้งกองทุนตราสารหนี้ ,กองทุนต่างประเทศ (FIF) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่มองดัชนีช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,500 จุด แต่ก็มีโอกาสทะลุ 1,500 จุดหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีความชัดเจน
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในปีนี้และปีหน้าจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ 1.9 แสนล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตมาจากกองทุน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น-ระยะกลาง ที่มีการเลือกลงทุนทั้งในและต่างประเทศ, กลุ่มกองทุนรวม FIF ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยเลือกประเทศที่ให้ผลตอบแทนดี และกลุ่มกองพร็อพเพอร์ตี้ ที่มีการเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ
นายสมจินต์ กล่าวว่า ส่วนมุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงการปรับฐาน ตามการประมาณการของหลายๆฝ่ายที่คาดว่าการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าระยะยาวการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตในระดับเฉลี่ยที่ 8-12% และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปเป็น 10-12% ทำให้มองว่าระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง และช่วงที่มีความเหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นสะสม โดยเชื่อว่าการลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ คาดว่ากนง.อาจจะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% หรือมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
"เรามองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันก็ถือว่าเหมาะสม และสามารถประคองเศรษฐกิจไทยได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลออยู่ และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ก็อาจจะมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยเราเชื่อว่าทาง กนง.จะมีการประเมินสถานการณ์ต่างๆและตัดสินอย่างเหมาะสม"นายสมจินต์ กล่าว
ด้านนายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400 -1,500 จุด
อย่างไรก็ตามหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความชัดเจน เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะทะลุ 1,500 จุดขึ้นไป โดยมองว่าช่วงที่เหลือของปีนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีจะไม่หวือหวา เพราะยังมีปัจจัยภายในประเทศที่กดดันอยู่ทั้งเรื่องปัญหามาตรฐานการบิน และการประมง นอกจากนี้ยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่อาจจะมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเงินทุนต่างชาติเหลืออยู่ในไทยไม่มากแล้ว
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเข้าลงทุนในช่วงเดือนก.ย. หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯแล้ว โดยให้ทยอยสะสมหุ้นที่ระดับดัชนี 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลดหย่อนภาษีแนะลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจอาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป ที่มีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)ก่อนหน้านี้ และตลาดหุ้นเอเชียที่ P/E อยู่ในระดับต่ำ
อินโฟเควสท์
บลจ.ทหารไทย เปิดตัว 4 กองทุน RMF ครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า บลจ.ทหารไทยประกาศเจตนารมย์ในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อเป็นที่หนึ่งสำหรับกองทุนประเภท RMF ในใจของผู้ลงทุน โดยมุ่งเติมเต็มศักยภาพของกองทุนประเภท RMF ให้เกิดขึ้นกับผู้ลงทุนได้อย่างแท้จริง ด้วยการสร้างทางเลือกที่หลากหลายครบครัน ครอบคลุมทุกประเภทของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว เติมเต็มศักยภาพให้กับผู้ลงทุนเมื่อต้องการปรับเปลี่ยน จัดทัพลงทุน ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ต่อเนื่องมีประโยชน์ สร้างระบบรองรับสำหรับช่องทางการทำธุรกรรมกองทุนที่เปี่ยมประสิทธิภาพ พร้อมด้วยบริการให้คำปรึกษาเยี่ยงมืออาชีพสำหรับการจัดทัพลงทุนและเตรียมการด้านภาษี เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงิน เกษียณสุขได้อย่างแท้จริง และเพื่อสร้างความหลากหลายให้มีทางเลือกที่ครบครันมากยิ่งขึ้น
ในการนี้ บลจ.ทหารไทยจึงได้กำหนดออก IPO (ระหว่างวันที่ 3-7 ส.ค.2558) สำหรับกองทุน RMF น้องใหม่ประเภทหุ้นต่างประเทศที่บริหารโดย Master Funds ระดับโลก จำนวน 4 กองทุนรวด ซึ่งการออก IPO ในคราวนี้จะทำให้บลจ.ทหารไทยมีกองทุนประเภท RMF นำเสนอให้กับผู้ลงทุนได้ครอบคลุมครบถ้วน และมากที่สุดในอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยสี่กองทุน RMF น้องใหม่ประกอบด้วย กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ (กองทุนหลักบริหารจัดการโดย Nomura) กองทุนเปิดทหารไทย China Opportunity เพื่อการเลี้ยงชีพ (กองทุนหลักบริหารจัดการโดย UBS) กองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leaders เพื่อการเลี้ยงชีพ (กองทุนหลักบริหารจัดการโดย BlackRock) และกองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth เพื่อการเลี้ยงชีพ (กองทุนหลักบริหารจัดการโดย Wellington) โดยที่กองทุนทั้ง 4 กองนี้ถือเป็นทัพหน้าของการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสของผลตอบแทน มีนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนเปิดที่บลจ.ทหารไทยเปิดขายอยู่แล้วและได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ลงทุนนั่นเอง โดยผู้ลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทฯ เช่นผ่านทาง www.tmbam.com หรือโทร 1725 ธนาคารทหารไทยทุกสาขา หรือผู้สนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้ง
ดร.สมจินต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาของเราพบว่ากองทุนเพื่อการประหยัดภาษี โดยเฉพาะกองทุนประเภท RMF ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก ที่ผ่านมาประชาชนมักจะให้ความสนใจต่อกองทุน LTF มากกว่าเกือบครึ่งต่อครึ่งซึ่งอาจเป็นเพราะเข้าใจได้ง่ายกว่าและระยะลงทุนโดยเฉลี่ยที่อาจใช้เวลาน้อยกว่าคือเพียง 5 ปีภาษี ประกอบกับการที่กองทุน LTF ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจากภาครัฐในการคงสิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งความเข้าใจของผู้ลงทุนที่ไม่สมบูรณ์ ยังคงไม่เห็นความสำคัญว่ากองทุน RMF หากมีการออมอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทัพบริหารจัดการลงทุนอย่างถูกวิธีจะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างอิสรภาพการเงิน ในวัยเกษียณได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงกำหนดแนวทางในการดำเนินการเพื่อช่วยยกระดับศักยภาพของกองทุน RMF กับผู้ลงทุนไทยไว้ได้แก่
1.) Power of Choice คือมุ่งสร้างวาไรตี้หรือความหลากหลายของกองทุนให้ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ ทั้งตราสารตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ เพื่อเพิ่มศักยภาพของผลตอบแทนที่สูงขึ้น และสามารถจัดทัพปรับเปลี่ยนได้อย่างแท้จริง 2.) Power of Information คือมุ่งเติมเต็มศักยภาพของผู้ลงทุน ผ่านทางการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆของบริษัท การอัพเดทข้อมูลข่าวสาร และการให้คำปรึกษาผ่านมืออาชีพผู้แนะนำการลงทุนที่ได้รับการอนุญาติของบริษัท เป็นต้น และประการสุดท้าย 3.) Power of Execution คือมุ่งสร้างความคล่องตัวในการทำธุรกรรมตลอด 24 ชั่วโมง อำนวยความสะดวกสบาย โดยสร้างช่องทางบริการสำหรับการทำธุรกรรมที่หลากหลาย ผู้ลงทุนสามารถเลือกช่องทางได้ตามความเหมาะสมคุ้นเคย อาทิ ระบบธุรกรรม FundLink online ผ่านเวปไซด์บริษัทฯ ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ FundLink IVR ผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1725 และที่สาขาธนาคารทหารไทยทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึง Selling Agents ที่ได้รับการแต่งตั้ง
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศน้องใหม่ RMF สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.ทหารไทย โทร1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัท ได้แก่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขาย และทางอินเตอร์เนตผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com
บลจ.ทหารไทย มองกรอบดัชนีฯครึ่งปีหลัง 1,400-1,500 จุด แต่หากมีเมกะโปรเจ็ก SET มีลุ้นแตะ 1,600 จุด - เฟดขึ้น ดบ. กระทบไม่มาก
บลจ.ทหารไทย มองกรอบดัชนีฯครึ่งปีหลัง 1,400-1,500 จุด แต่หากมีเมกะโปรเจ็ก SET มีลุ้นแตะ 1,600 จุด ประเมินเฟดขึ้น ดบ.ไม่กระตลาดหุ้นรุนแรง เหตุตลาดรับรู้ไปมากแล้ว พร้อมตั้งเป้า AUM แตะ 2.5 แสนล้านบาทในปีหน้า จากการเปิดกองทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย ประเมินแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,400-1,500 จุด แต่หากนโยบายการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจ็กของภาครัฐมีความคืบหน้า ดัชนีฯมีโอกาสที่จะขึ้นไปแตะระดับ 1,600 จุดได้
ขณะที่มองว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดภายในปีนี้ จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่มาก เนื่องจากตลาดฯรับรู้ข่าวไปมากพอสมควรแล้ว แต่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเอเชียให้ปรับตัวลดลงตามกระแสเงินทุนที่เริ่มไหลออก จึงอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงได้เล็กน้อยตามตลาดหุ้นภูมิภาค
"ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังคงไม่หวือหวา ดัชนีฯปรับลดลงเพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติยังคงไหลออก แต่เมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนเม็ดเงินเหล่านั้นก็จะกลับมา โดยในปีนี้มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตได้ประมาณ 10% ซึ่งดัชนีฯที่ระดับใกล้ 1,400 จุด เป็นระดับที่น่าสะสม" นายไพศาล กล่าว
ด้านนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) แตะ 2.5 แสนล้านบาทในปี 59 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท โดยเติบโตจากการออกกองทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บลจ.ทหารไทยเตรียมเดินหน้าเปิดกองทุน TMBAM RMF โดยจะเสนอขายIPO ในวันที่ 3-7 สิงหาคม 58 ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่บริหารโดย Master Funds ระดับโลก จำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย 1.กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity เพื่อการเลี้ยงชีพ 2.กองทุนเปิดทหารไทย China Opportunity เพื่อการเลี้ยงชีพ 3.กองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leaders เพื่อการเลี้ยงชีพ 4.กองทุนเปิดทหารไทยGlobal Quality Growth เพื่อการเลี้ยงชีพ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย