- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 23 June 2014 21:41
- Hits: 3179
บลจ.กสิกรไทย เผยยิลด์บอนด์แกว่งตัวผันผวน แนะล็อกผลตอบแทนกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ชูโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด 2.90 % ต่อปี เสนอขาย 24-30 มิ.ย นี้
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 24-30 มิถุนายน 2557 บลจ.กสิกรไทย จะเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี คิว (KEFF1YQ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.90% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน แซท(KEFF6MZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.70% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีซี (KFI6MCC) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.60% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีไอ (KFI3MEI) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.40% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
“จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่ากนง.จะมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% ตามที่คาด โดยประเมินว่าหลังจากปัญหาทางการเมืองคลี่คลาย และเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวที่ดีขึ้น จากการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่อาจฟื้นตัวได้ช้า โดยได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้จาก 2.7% เหลือ 1.5% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.8% ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป คงต้องขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่ยังมีโอกาสปรับสูงขึ้น จึงอาจส่งผลให้ กนง.มีความระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และนอกจากทิศทางเงินเฟ้อแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่คงต้องติดตาม คือทิศทางของกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยุติการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งคงจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงโอกาสที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยปัจจัยที่กล่าวมาจะมีผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ที่อาจเคลื่อนไหวผันผวนในระยะนี้จากกระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติ บลจ.กสิกรไทยจึงแนะนำให้ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยสามารถเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ เพื่อล็อกผลตอบแทนที่น่าสนใจและเป็นการพักเงินเพื่อรอจังหวะในการลงทุนที่เหมาะสม”นางสาวยุพาวดีกล่าว
นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF1YQ จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Banco ABC Brasil S.A., ประเทศบราซิล ตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ด้านกองทุน KEFF6MZ จะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่ค้ำประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีซี (KFI6MCC) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีไอ (KFI3MEI) โดยกองทุน KFI6MCC เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ด้านกองทุน KFI3MEI เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation และเงินฝาก Bank of China ด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF1YQ, กองทุน KEFF6MZ, กองทุน KFI6MCC และกองทุน KFI3MEI สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย