- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 16 March 2015 22:28
- Hits: 1657
บลจ.กสิกรไทย ส่งรวด 5 กองทุนตราสารหนี้ ชูโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด 2.50% ต่อปี เสนอขาย 17-23 มี.ค นี้ แนะผู้ลงทุนล็อกผลตอบแทน 6 เดือน -1 ปี ตุนโอกาสช่วงดอกเบี้ยขาลง
บลจ.กสิกรไทย แนะชิงล็อกผลตอบแทน 6 เดือน -1 ปี ดักโอกาสช่วงดอกเบี้ยขาลง ล่าสุดเตรียมเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ 5 กองทุนรวด พร้อมคว้าตราสารหนี้ต่างประเทศช่วยอัพผลตอบแทนสูง 2.00%- 2.50% ต่อปี เสนอทางเลือกสวนดอกเบี้ยซบ
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.00% มาอยู่ที่ 1.75% จากการประชุมของกนง.ในวันที่ 11 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาดส่วนใหญ่ซึ่งมองว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ สาเหตุเนื่องมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยซึ่งอ่อนแรงกว่าที่ประเมินไว้ ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง. ดังกล่าว ส่งผลทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศมีการปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่มาก แต่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ บลจ.กสิกรไทยจึงขอแนะนำทางเลือกในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงนี้ ด้วยการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป เพื่อล็อกอัตราผลตอบแทนเอาไว้ก่อน เนื่องจากมองว่ากนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงสิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว
ในโอกาสนี้ ระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2558 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ จำนวน 4 กองทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายสำหรับผู้ลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนที่แตกต่างกันและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน โดยแบ่งกองทุนออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรกคือ กลุ่มกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่เพิ่มโอกาสการได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น โดยเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงในสัดส่วนที่มากกว่ากองทุนอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีความเสี่ยงโดยเปรียบเทียบแล้วสูงกว่า ซึ่งได้แก่ กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน วี (KEFF3MV) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.25% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอดับบลิว (KEFF6MAW) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.40% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอเอช (KEFF1YAH) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี และกลุ่มที่สองคือ กลุ่มกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีเจ (KFF6MBJ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.00% ต่อปี
นอกจากนี้ ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยยังเสนอทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก โดยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเอ็กซ์ (KPPTF3MDX) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 1.60% ต่อปี และลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย
นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF3MV จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ T.C. Ziraat Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., ประเทศบราซิล ด้านกองทุน KEFF6MAW เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., ประเทศบราซิล และด้านกองทุน KEFF1YAH เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, เงินฝาก PT Bank Rakyat Indonesia (Persero) Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย, ตราสารหนี้ Isbank, ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China, สาขาฮ่องกง โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
ด้านกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีเจ (KFF6MBJ) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, เงินฝาก ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง, ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., ประเทศบราซิล โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับ ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFF6MBJ กองทุน KEFF3MV กองทุน KEFF6MAW กองทุน KEFF1YAH และกองทุน KPPTF3MDX สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com