- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 09 June 2014 20:44
- Hits: 3264
ทิสโก้ ชี้'หุ้นจีน'กลับมาโดดเด่น โชว์ผลงานบริหารทริกเกอร์หุ้นจีนเข้าเป้า 8% ใช้เวลาเพียง 4 เดือน
ทิสโก้ ชี้ตลาดหุ้นจีนกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง พร้อมโชว์ผลงานบริหารกองทริกเกอร์ฟันด์เข้าเป้าหมายต่อเนื่อง ล่าสุดบริหาร ‘กองหุ้นจีน’ เข้าเป้า 8% ใช้เวลาบริหารเเพียง 4 เดือน หลังเศรษฐกิจจืนเติบโตต่อเนื่อง พิสูจน์ความเป็นผู้นำ ‘ทริกเกอร์ฟันด์’ จับจังหวะลงทุนอย่างแม่นยำ พร้อมแนะกลยุทธ์ลงทุน ‘หุ้นจีน-เอเชียเหนือ’เด่นสุดในตลาดเกิดใหม่ ส่วนตลาดพัฒนาแล้ว‘หุ้นเยอรมัน’เจ๋งสุด
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr.Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealt h Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ รักษาผลงานการบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ที่โดดเด่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจากการที่ได้เปิดเสนอขาย ‘กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% # 12’(TISCO China Trigger 8% Fund # 12) ซึ่งเป็นกองทาร์เก็ตฟันด์ลงทุนในหุ้นจีน ผ่านกองทุนอีทีเอฟ Hang Seng H-Share Index ETF ในฮ่องกง โดยมีนโยบายการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI) หรือ H-Shares มีอายุโครงการ 8 เดือน โดยจะเลิกกองทุนเมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากกว่าหรือเท่ากับ 10.80 บาทนั้น
ล่าสุด ณ วันที่ 3 มิ.ย. 57 ที่ผ่านมา NAV ของกองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย 8% ที่ 10.8057 บาทต่อหน่วย ทำให้เลิกโครงการได้ก่อนกำหนด โดยใช้ระยะเวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น ตอกย้ำมุมมองการลงทุนที่แม่นยำ และความเชี่ยวชาญในด้านการจับจังหวะลงทุนที่เหมาะสมของทิสโก้ได้เป็นอย่างดี
“ช่วงที่เราเปิดขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% กองที่ 12 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นจีนมีราคาถูก และมี PE ต่ำสุดในเอเชีย ซึ่งนับว่าปรับตัวลงมามากกว่าที่ควรจะเป็น ประกอบกับเรามองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจีนยังมีโอกาสขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนปรนการตั้งสำรองการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และประกาศนโยบายการลงทุนในสาธารณูปโภค เช่นการรถไฟ เพื่อให้เศรษฐกิจโตตามเป้าที่ 7.5% ในปีนี้ เราจึงมองว่าตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ หากตลาดคลายความกังวล ดัชนีหุ้นจีนจะดีดกลับ จึงออกกองทริกเกอร์หุ้นจีนในช่วงที่ราคาหุ้นยังถูก ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้ โดยหลังจากเปิดขายเพียง 4 เดือน ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% ทำให้ปิดกองคืนเงินได้ก่อนกำหนด ถือเป็นอีกผลงานที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพในการบริหารกองทุนของทิสโก้” นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับ มุมมองเศรษฐกิจจีน ด้านฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ ระบุว่า เศรษฐกิจจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1 โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ต่อเนื่อง อยู่ที่ 50.8 และเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ม.ค. ด้านการส่งออกเดือน เม.ย. ฟื้นตัวขึ้น โดยขยายตัว 0.9% (จาก -6.6% YoY เมื่อเดือนก่อน) จากอุปสงค์การนำเข้าสินค้าจีนจากประเทศในแถบยุโรปและสหรัฐฯ แม้ว่าผลของฐานการส่งออกที่สูงผิดปกติ (Over-Invoicing) เมื่อปีที่แล้วจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตัวเลขการส่งออกอยู่ แต่เชื่อว่าตัวเลขการส่งออกของจีนในเดือน พ.ค. ที่กำลังจะประกาศออกมาจะขยายตัวอย่างโดดเด่น
ทางด้านมาตรการการคลัง (Fiscal Policy) รัฐบาลจีนได้จัดสรรงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับรถไฟและ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยและนโยบายอื่นๆ เช่น การปรับปรุงระบบจัดการน้ำเสีย รวมทั้งยังสนับสนุนภาคเอกชนให้เข้ามามีบทบาทในการลงทุนโครงการเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน จำนวน 80โครงการอีกด้วย
ดังนั้น ในระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะได้รับผลบวกจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น การลดสัดส่วนการลงทุน และเพิ่มสัดส่วนการบริโภคในจีดีพี และการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และทำให้ตลาดหุ้นจีนสามารถกลับมาซื้อขายที่ระดับ Valuation สูงขึ้นได้ โดยในปัจจุบัน ดัชนี HSCEI ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 7 เท่า และ P/B 1 เท่า ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551
ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ ประเมินว่า ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นเอเชียเหนือ ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ เนื่องจาก Valuation ของหุ้นยังถูก อีกทั้งได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ขณะตลาดประเทศพัฒนาแล้ว มองว่าตลาดหุ้นเยอรมันน่าสนใจที่สุด เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในเยอรมัน ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในยูโรโซนด้วยกัน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน