- Details
-
Category: บลจ.
-
Published: Monday, 19 January 2015 15:16
-
Hits: 3246
บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล มอง QE เปลี่ยนขั้ว ท้าทายการลงทุน ตลาดเงิน-ตลาดหุ้นผันผวนสูง ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อต่ำแนะนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุน กระจายลงทุนในสินทรัพย์เหมาะสม
บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ส่องกล้องมองเกมการลงทุนปีแพะ แนะนักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนพร้อมรับมือมาตรการ QE เปลี่ยนขั้วจากสหรัฐฯ มาภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่น ชี้จับตากลางปีนี้ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง พร้อมคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยปีนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ชูหุ้นกลุ่มเกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยว และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศมาแรง
นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2015 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างค่อนข้างมาก โดยจะมีการเปลี่ยนขั้วการอัดฉีดกระตุ้นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจจากฝั่งสหรัฐฯ มาเป็นภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นที่จะเป็นผู้ใช้มาตรการ QEเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่าจะทยอยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีนี้จากปัจจุบัน 0.125% ต่อปี เพิ่มเป็น 1.125% ต่อปีในสิ้นปี 2015
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2015 ญี่ปุ่นจะอัดฉีดเงินเพิ่มปีละประมาณ 80 ล้านล้านเยน ส่วนยุโรปจะอัดฉีดเงินประมาณ 1 ล้านล้านยูโรหรือมากกว่าในระหว่างปี 2015-2016 มีผลให้ค่าเงินเยนและค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ดังนั้นเม็ดเงินการลงทุนมีโอกาสที่จะไหลกลับไปยังสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สภาพคล่องในตลาดการลงทุนโลกจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปจากการกระตุ้นของยุโรป และญี่ปุ่น
“ยิ่งเข้าใกล้ช่วงกลางปี 2015 ความผันผวนในตลาดการลงทุนทั้งค่าเงินและตลาดหุ้นจะมีมากขึ้น เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงเวลาที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า FED จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์หรือเงินเฟ้อมีการปรับเพิ่มสูงกว่าที่คาด ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2015 จึงเหมาะกับการจัดพอร์ตแบบสมดุลใน Balanced Fund หรือ Multi-Asset Strategy ที่ไม่ควรเน้นลงทุนที่เสี่ยงมากจนเกินไปจนกว่าจะเห็นความชัดเจนในประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ว่าจะช้าหรือเร็วเพียงใด” นายเจษฎา กล่าว
ขณะที่เศรษฐกิจในแถบเอเชีย ถือเป็นปีแห่งการปฏิรูป เนื่องจากทั้งจีน อินเดีย อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทยมีการปฏิรูปเศรษฐกิจและโครงสร้างของประเทศ โดยประเทศจีนมีแนวทางหันมาพึ่งพากำลังซื้อของคนในประเทศแทนการพึ่งพาการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการเปิดเสรีเงินหยวนเพื่อผลักดันให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักของโลก ส่วนประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย การที่รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก พร้อมผลักดันมาตรการต่างๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงการปฏิรูปพลังงาน ที่ดิน แรงงาน เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น หรือประเทศเกาหลีใต้ที่มีความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดภาษีนิติบุคคล การปรับปรุงเรื่องธรรมาภิบาลของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่โดยให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น ด้วยการเพิ่มเงินปันผล หรือปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งความคืบหน้าการปฏิรูปในเอเชียครั้งนี้เป็นอีกประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตามองเพราะส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นอย่างนัยสำคัญเช่นกัน
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวต่อว่า มุมมองการลงทุนในปี 2015 เป็นปีที่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯและหุ้นเอเชีย จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีพอสมควร เนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีการคาดการณ์การขยายตัวที่ระดับ 3.8% สูงกว่าปีก่อนที่ระดับ 3.3% ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากจากประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย อย่างจีน อินเดียและอาเซียนที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตสูงถึง 6.6% (ที่มา: IMF)
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในครึ่งปีแรก การลงทุนประเภท Yield Play เช่น หุ้นที่ปันผลสูง กองทุน REITs และตราสารหนี้ High Yield จะกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง ขณะที่กลุ่มสินทรัพย์ที่ควรลดการลงทุนจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่มีผลตอบแทนในระดับต่ำและอาจได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนการลงทุนในประเทศไทยในปีนี้เรามองว่า ยังคงถือเป็นปีที่ดี เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับนโยบายภาครัฐที่เดินหน้าลงทุนใช้จ่ายเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และมีผลเชิงบวกต่อตลาดเงินตลาดทุนไทยในปีนี้ โดยคาดว่าการลงทุนในหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่ดีประมาณ 10-15%ต่อปีซึ่งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ กลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล และแนะนำให้ลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาลงของราคาโภคภัณฑ์ เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมีและอาหาร
ในด้านตราสารหนี้ไทย คาดว่าในครึ่งปีแรกตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาวจะยังคงทำผลงานได้ดีจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนโดยปรับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อลดผลกระทบจากแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ส่วนการลงทุนใน REITs หรือ InfrastructureFund ก็นับเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจจากระดับเงินปันผลที่สูง
จากมุมมองและทิศทางการลงทุนในปี 2015 ทาง บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ขอแนะนำการลงทุน โดยสำหรับพอร์ตการลงทุนในประเทศ เรามองว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจได้ความผันผวนจากปัจจัยลบภายนอก เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เป็นต้น ดังนั้น เราแนะนำให้ลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และหุ้น เหมาะกับการลงทุนในภาวะผันผวน เช่น 'กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iBALANCED)' จุดเด่นของกองทุนคือ การบริหารการลงทุนแบบ Active Management และการ Rebalancing พอร์ตการลงทุน เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างสองสินทรัพย์หลักคือหุ้นและตราสารหนี้อย่างสมดุลในกองทุนเดียวกัน โดยในปีที่ผ่านมา (26 ธันวาคม 2014) กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง10.46% และมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติจำนวน 4 ครั้ง รวม 0.82 บาทต่อหน่วย หรือประมาณ 8.2% (คิดจากราคาพาร์ 10 บาท) โดยเราตัดจ่ายให้ทุกไตรมาสตลอดปีที่ผ่านมา
สำหรับ นักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เราแบ่งการลงทุนเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1ลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำ กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮยิลด์ (CIMB-PRINCIPAL EUHY) จากอานิสงค์ของมาตรการ QE ของภูมิภาคยุโรป ซึ่งส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้จากราคาตราสารที่จะปรับเพิ่มขึ้น และเรามองว่า QE นี้จะยังคงดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2015
สำหรับ กลุ่มที่ 2 ลงทุนในตลาดหุ้น เราแนะนำลงทุนในภูมิภาคเอเชีย คือ 'กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิค ไดนามิค อินคัม อิควิตี้ (CIMB-PRINCIPAL APDI)' โดยได้รับอานิสงค์จากสภาพคล่องของเงินลงทุนจากมาตรการ QE ของทั้งยุโรปและญี่ปุ่น รวมอานิสงส์จากนโยบายปฏิรูปของหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งจะมีเงินลงทุนบางส่วนที่มาลงทุนในตลาดหุ้นของภูมิภาคนี้ เราจึงมองเป็นโอกาสในการลงทุน ในขณะที่กองทุนนี้ในปี 2014 สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน คือ ผลตอบแทน ณ วันที่ 26 ธันวาคมกองทุนมีผลตอบแทนที่ 10.27% สูงกว่าดัชนีMSCI AC Asia Pacific ex-Japan ที่ -0.10% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (11 กันยายน 2012) การลงทุนเพียงประมาณสองปีกว่ากองทุนมีผลตอบแทนที่ 41.41% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 15.94%
กลุ่มที่ 3 ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก คือ กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iPROP) เราคาดว่าอสังหาริมทรัพย์และ REITs จะกลับมามีความน่าสนใจอีกครั้งในปี 2015 สาเหตุหลักจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มต่ำโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยและมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น และหันกลับมาลงทุนใน REITs โดยคาดว่ากอง iPROP จะมีการปรับตัวดีขึ้น กองทุนนี้นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนเด่นของเรา ในปีที่ผ่านมากองทุนสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 13.32% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบที่ 2.28% และกองทุนมีผลการดำเนินงานดีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา
คุณเจษฎา กล่าวว่า “ถึงแม้เราเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2015 นี้ แต่ภายใต้ภาวะการลงทุนที่มีปัจจัยความไม่แน่นอนสูง สิ่งสำคัญที่นักลงทุนจะต้องนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนคือ การเน้นการลงทุนที่สามารถปรับเปลี่ยนและตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์การลงทุนในแต่ละช่วงเวลา ควบคู่ไปพร้อมกับการพิจารณากรอบการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม สามารถที่จะทำให้พอร์ตของนักลงทุนมีผลตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในปีนี้”
|
YTD
|
3 เดือน
|
6 เดือน
|
1 ปี
|
ตั้งแต่จัดตั้ง
|
CIMB-Principal iBALANCED
|
10.46%
|
-2.86%
|
2.87%
|
10.46%
|
6.17%
|
SET INDEX + ThaiBMA government bond(>10Y) + ThaiBMA corporate bond index and 3-month zero rate return government bond index (50:15:15:20)
|
10.65%
|
-1.98%
|
2.39%
|
10.65%
|
11.20%
|
CIMB-Principal APDI
|
10.27%
|
0.37%
|
0.99%
|
10.27%
|
41.41%
|
MSCI AC Asia Pacific ex-Japan CR USD
|
-0.10%
|
-1.53%
|
-4.53%
|
-0.10%
|
15.94%
|
CIMB-Principal iPROP
|
13.32%
|
2.02%
|
3.61%
|
13.32%
|
25.73%
|
Property Fund & REIT SET+FTSE ST REIT
|
2.28%
|
-0.52%
|
-2.20%
|
2.28%
|
16.17%
|
เอกสารการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมฉบับนี้ ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กองทุนแนะนำ
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม
|
กองทุนผสม เน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียนใน SET ที่มีผลประกอบการดีและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง และลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 55 – 65% โดยมีจุดเด่นที่การปรับพอร์ตการลงทุน (Rebalancing Portfolio) ให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา
|
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ยูโร ไฮ ยิลด์
|
ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UBS (Lux) Bond fund- Euro High Yield (EUR) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนผลตอบแทนสูง โดยมีการกระจายการลงทุนในตราสารมากกว่า 200 บริษัทในหลายอุตสาหกรรมในยุโรปที่ให้ผลตอบแทนสูง บริหารโดย UBS Global Asset Management บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำในยุโรปและเป็นผู้จัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารใหญ่ที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยถือเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นได้รับรางวัล Lipper Award 5 ปีติดต่อกัน (นับตั้งแต่ปี 2010-2014)
|
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เอเชีย แปซิฟิค ไดนามิค อินคัม อิควิตี้
|
เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน CIMB-Principal Asia Pacific Dynamic Income Fund ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทในประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) โดยเน้นลงทุนบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลที่ดีและ/หรือ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต
|
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม
|
เน้นลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในและต่างประเทศ โดยพิจารณาถึงศักยภาพในการเติบโตและสภาพคล่องเป็นสำคัญ ผลตอบแทนกองทุนมาจากเงินปันผลของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และปรับเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์หรือตราสารในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ (Property Sector Fund)
|
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุนรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการลงทุน ความเสี่ยงและผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่เปิดเผยไว้ในเวบไซต์ของบริษัท หรือสามารถขอข้อมูลได้จากฝ่ายการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน