- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 27 October 2014 18:34
- Hits: 2624
บลจ.กสิกรไทย เสนอขายกองทุนตราสารหนี้ใหม่ 3 กองทุน ชูโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด 2.80% ต่อปี เปิดขาย 28 ต.ค.–3 พ.ย. นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอบี (KEFF1YAB) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เออาร์ (KEFF6MAR) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.65% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีแซท (KFI3MEZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.25% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
“สำหรับความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงอายุยาว 5 ปี และ 10 ปี ต่างปรับตัวลดลง เช่นเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ได้ปรับตัวลดลงตลอดทั้งสัปดาห์ ภายหลังสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกถูกแรงเทขายออกมา เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป และจีน และทำให้มีแรงซื้อพันธบัตรเข้ามามากขึ้น แม้ว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ปรับลดเม็ดเงินจากมาตรการ QE จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ อาทิ ยุโรปและญี่ปุ่น ยังไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาดไว้ ทำให้นักลงทุนยังคงเข้าซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้สักระยะหนึ่ง แม้ว่าจะสิ้นสุดมาตรการ QE ลงก็ตาม เช่นเดียวกับกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ ระดับ 2.00% ไปจนถึงสิ้นปีนี้” นายนาวินกล่าว
นายนาวิน กล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF1YAB จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Bank of China เงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A. ตราสารหนี้ Banco ABC Brasil S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Standard Bank of South Africa, ประเทศแอฟริกาใต้ ด้านกองทุน KEFF6MAR จะเข้าลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ตราสารหนี้ T.C. Ziraat Bankasi A.S., ประเทศตุรกีและตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับ นักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีแซท (KFI3MEZ) ซึ่งจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับ ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF1YAB กองทุน KEFF6MAR และกองทุน KFI3MEZ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com