- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 24 July 2018 17:13
- Hits: 1600
บลจ.บีแคป โชว์ผลงานกองทุน BMSCITH ปันผลกว่า 53 ล้าน
บลจ.บางกอกแคปปิตอล โชว์ผลงานกองทุน BMSCITH ลงทุนหุ้นบนดัชนี MSCI ในไทย ประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งแรกอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่า 53.40 ล้านบาท กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิรับเงินปันผล 31 ก.ค. และดีเดย์จ่ายเงิน 16 ส.ค.นี้ ปลื้มผลตอบแทนย้อนหลัง 2 ปี ประมาณ 10.6% ต่อปี
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP Asset เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลครั้งแรกของกองทุนเปิด BCAP MSCI THAILAND ETF (BMSCITH) สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2560 -31 พฤษภาคม 2561 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วยและจ่ายเงินปันผลพิเศษจากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2559 - 31 พฤษภาคม 2561 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 0.60 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อรายชื่อในสมุดทะเบียน ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 (ขึ้น XD วันที่ 25 กรกฎาคม 2561) และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 สิงหาคม 2561 นี้ รวมมูลค่าการจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 53.40 ล้านบาท
สำหรับ ผลการดำเนินงานของกองทุน BMSCITH นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนวันที่ 2 มิถุนายน 2559-30 มิถุนายน 2561 หรือย้อนหลัง 2 ปี กองทุนให้ผลตอบแทนประมาณ 10.6% ต่อปี ทั้งนี้ เป็นผลมาจากกองทุน BMSCITH ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนตามดัชนี MSCI Thailand ex Foreign Board Index โดยมีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
นอกจากนี้ กองทุนมีค่าความผันผวนของส่วนต่างระหว่าง ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมและผลตอบแทนดัชนีอ้างอิง (Tracking Error) ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ในระดับต่ำประมาณ 0.05% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนคู่แข่ง ประกอบกับกองทุน BMSCITH มีสภาพคล่องในการซื้อขายค่อนข้างดี โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ทำหน้าที่สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ให้กับกองทุน เมื่อเทียบกับกองทุนอีทีเอฟอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีสภาพคล่องในการซื้อขายมากนัก ประกอบกับกองทุนอีทีเอฟมีจุดเด่นอยู่ที่ค่าใช้จ่ายในการจัดการกองทุนต่ำ
"กองทุน BMSCITH สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้หลากหลายตรงตามวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การออมเงินระยะยาวในหุ้นในประเทศสำหรับนักลงทุนทั่วไป จนถึงการใช้กระจาย
ความเสี่ยงของหุ้นในพอร์ตและการเก็งกำไรในทิศทางของตลาดในระยะสั้นของนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่แล้ว โดยจุดเด่นของที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงตามดัชนีอ้างอิงและมีความคลาดเคลื่อนจากผลตอบแทนดัชนี (Tracking Error) ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม"นางเมธ์วดี กล่าว