WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KsemChatchaiบลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุน ABFTH ผู้ลงทุนเตรียมรับเงิน 25 มิ.ย. นี้ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท

    นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 พฤษภาคม2561 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 2.00 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 15.75 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2561 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 มิถุนายน 2561

     สำหรับ ผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 25 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 420.73 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงาน 6 ที่ผ่านมา (1 ธ.ค.60 – 31 พ.ค.61) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -0.79% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -0.67% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.67% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.86% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 พ.ค.61) " นายชัชชัยกล่าว

       สำหรับ จุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,500 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

      นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ต้นปีตราสารหนี้ไทยค่อนข้างมีความผันผวน โดยปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2561 สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 12-13 มิ.ย.ที่ผ่านมา และตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ประกอบกับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน กดดันค่าเงินในภูมิภาคเอเชียให้อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

       ส่วนแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง นายชัชชัยกล่าวว่า ความผันผวนต่อตลาดตราสารหนี้ไทยคาดว่ายังอยู่ในระดับสูง จากทั้งปัจจัยเรื่องจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของตลาดจากการตอบโต้เรื่องการเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง สถานะความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารไทยยังไม่น่าเป็นห่วง ทุนสำรองยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยังทรงตัวที่ 1.5% ถึงสิ้นปี

       ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน ABFTH สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset Contact Center 0 2673 3888

กองทุน รอบผลการดำเนินงาน               อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)

ABFTH 1 ธันวาคม 2560 - 31 พฤษภาคม2561 2.00

      *คิดจาก NAV วันที่ 31 พ.ค. 61 **ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

       ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน ABFTH ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือบลจ.กสิกรไทย หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

บลจ.กสิกรไทย มองแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยใน H2/61 ผันผวนสูง หลังสหรัฐฯขึ้นดบ.เร็ว-กังวลข้อพิพาทการค้า

     นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังมีความผันผวนอยู่ในระดับสูง จากทั้งปัจจัยเรื่องจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของตลาดจากการตอบโต้เรื่องการเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง สถานะความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารไทยยังไม่น่าเป็นห่วง ทุนสำรองยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยังทรงตัวที่ 1.5% ถึงสิ้นปี

      ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยค่อนข้างมีความผันผวน โดยปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 61 สหรัฐฯปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 12-13 มิ.ย.ที่ผ่านมา และตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ประกอบกับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน กดดันค่าเงินในภูมิภาคเอเชียให้อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

       สำหรับ บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.60 - 31 พ.ค.61 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 2.00 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 15.75 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 15 มิ.ย.61 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 มิ.ย.61

      "สำหรับ ผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 ก.พ.49 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 25 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 420.73 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงาน 6 ที่ผ่านมา (1 ธ.ค.60 – 31 พ.ค.61) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -0.79% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -0.67% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.67% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.86% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 พ.ค.61) "นายชัชชัย กล่าว

    สำหรับ จุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,500 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

               อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!