- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Friday, 09 August 2024 17:48
- Hits: 7044
CKPower เผยงบ Q2/2567 รายได้ 2,621 ล้านบาท พร้อมกำไรจากการดำเนินงาน และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
เดินหน้าพัฒนาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่อเนื่อง เตรียม COD โซลาร์เพิ่มเติมคาด Q3/2567 รับอานิสงส์บวกจากปัจจัยฤดูกาล
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์ : CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุต พรินต์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งในไตรมาส 2/2567 และงวด 6 เดือนปี 2567 ของ CKPower ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 2/2567 มีรายได้รวม 2,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรับรู้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานซึ่งไม่รวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 149 ล้านบาท ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่รับรู้ขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 48 ล้านบาท
สำหรับ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปีนี้ มาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำกัด (NN2) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ ณ ต้นปี 2567 ในระดับสูง และมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานซ่อมบำรุงลดลง เนื่องจากการงานซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Overhaul) ประจำปี 2567 ส่วนใหญ่ดำเนินการไปแล้วในไตรมาส 1/2567 ขณะที่ค่าเชื้อเพลิงของบริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ลดลงร้อยละ 27.6 ตามราคาก๊าซธรรมชาติ และยังรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานของการร่วมค้าและบริษัทร่วมลดลง 110 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 77.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“แม้ว่า CKPower จะมีต้นทุนทางการเงินในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 และ 6.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2567 ของบริษัทที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามสภาพตลาด แต่บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2567 ลดลงร้อยละ 14.0 และร้อยละ 13.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ” นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม
สำหรับ ฐานะการเงินของ CKPower ยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 มีสินทรัพย์รวม 69,927 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากสิ้นปี 2566 ขณะที่หนี้สินระยะยาวตามงบการเงินรวมของบริษัท ร้อยละ 81 เป็นหุ้นกู้สกุลเงินบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ มีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.77
โดยบริษัทจะยังคงติดตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิดและบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้คัดเลือกให้หลักทรัพย์ “CKP” อยู่ในดัชนี SET100/ SET100FF และยังได้รับคัดเลือกเข้าสู่ทำเนียบบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน (ESG100) ปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
นายธนวัฒน์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังคาดว่า จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลน้ำหลากผนวกกับปรากฎการณ์ลานีญาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ส่งผลให้แนวโน้มปริมาณน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ นอกจากนี้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) ได้อยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) อีก 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 7 เมกะวัตต์ (MW) โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้เร็วๆ นี้ ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันภาคขนส่งสาธารณะระบบรางให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนครั้งแรกของประเทศไทย
“สำหรับ ก้าวเดินต่อจากนี้ของ CKPower ได้เตรียมวางแผนลงทุนและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนพร้อมวางรากฐานทางพลังงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชนและสังคม ผ่านการใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในการคิดค้นนวัตกรรมและโครงการต่างๆ ตลอดจนขยายผลการสร้างองค์ความรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนสู่เยาวชน ชุมชน สังคม เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593”นายธนวัฒน์ กล่าว
เกี่ยวกับ “บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower”
บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 18 แห่ง รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3,640 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย (1) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ภายใต้ บริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 46% (ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ภายใต้ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 42.5% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ภายใต้ บริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 50.0% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,460 เมกะวัตต์
(2) โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น 2 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 65% ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 238 เมกะวัตต์ และ (3) โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 13 แห่ง ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 100% จำนวน 11 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 28 เมกะวัตต์ ภายใต้บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ และภายใต้บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 30% จำนวน 1 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์