- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Tuesday, 02 April 2024 18:07
- Hits: 5805
PTG ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.พีทีจี เอ็นเนอยี’ที่‘BBB+’แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทที่มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่กว้างขวางและส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นในตลาดค้าปลีกน้ำมันของประเทศไทย
ตลอดจนความพยายามในการขยายกิจการไปยังธุรกิจต่าง ๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน และความสามารถในการใช้ประโยชน์จากโครงการสิทธิเศษแก่สมาชิกในการขับเคลื่อนการเติบโตและการเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการร่วมกัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการแทรกแซงด้านราคาของรัฐบาลซึ่งอาจนำไปสู่ช่วงเวลาที่ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงอ่อนแอลงทั้งอุตสาหกรรมรวมถึงรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันของบริษัทที่มีขนาดเล็กแต่กำลังเติบโตเมื่อเทียบกับยอดขายโดยรวม
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปริมาณการขายน้ำมันของบริษัทที่ผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2566 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ระดับ 2% การเติบโตที่สูงในระดับนี้ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมมากกว่าการขยายเครือข่าย ทั้งนี้ บริษัทเพิ่มสถานีบริการน้ำมันในเครือข่ายเพียง 52 แห่งซึ่งรวมเป็นทั้งสิ้น 2,201 แห่งในปี 2566
ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทยังคงเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 20% ในปี 2566 จากที่ระดับประมาณ 18% ในปีก่อนหน้า บริษัทได้ใช้โครงการสิทธิเศษแก่สมาชิก PT Max Card เพื่อกระตุ้นยอดขายและรักษาลูกค้า เมื่อไม่นานมานี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการสิทธิเศษแก่สมาชิกแบบชำระเงิน PT Max Card Plus เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากคู่แข่งทั้งในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน โดยโครงการสิทธิเศษดังกล่าวมอบส่วนลดเพื่อดึงดูดลูกค้าให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของบริษัท โดยบริษัทคาดว่าโครงการเหล่านี้จะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในปีต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ในระยะยาวยังคงต้องติดตามผลสำเร็จต่อไป
มุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน
บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันในเชิงรุก โดยส่วนหนึ่งเพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของบริษัทจากการแทรกแซงค่าการตลาดของรัฐบาล ทั้งนี้ ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันสร้างรายได้ในสัดส่วน 7% ของรายได้จากการขายรวมของบริษัทและสร้างกำไรขั้นต้นในสัดส่วน 21% ของกำไรขั้นต้นรวมของบริษัทในปี 2566 โดยธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันที่สำคัญ ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย ธุรกิจแม็กซ์มาร์ทมินิมาร์ท และธุรกิจศูนย์บำรุงรักษารถยนต์ออโต้แบคส์
ในปี 2566 บริษัทมีปริมาณการขาย LPG สำหรับภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 48% และมีจำนวนร้านจำหน่าย LPG เพิ่มขึ้นเป็น 332 แห่งจาก 253 แห่งในปี 2565 ในขณะที่ปริมาณการขาย LPG ต่อจำนวนร้านค้าโดยเฉลี่ยนั้นเพิ่มขึ้น 7% ปริมาณการขาย LPG สำหรับรถยนต์นั้นเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ระดับ 3% แม้ว่าตลาด LPG โดยรวมอาจจะไม่เติบโตในเร็ว ๆ นี้ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากบริษัทคู่แข่งได้ต่อไป
ในขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจร้านกาแฟก็เติบโตเพิ่มขึ้น 58% โดยมีจำนวนร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มขึ้น 73% เป็น 882 สาขาในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเพิ่มร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่จำนวน 320 สาขาต่อปี โดยเฉลี่ยต่อไปในช่วงระหว่างปี 2567-2569
บริษัทยังเพิ่มร้านแม็กซ์มาร์ท และร้านออโต้แบคส์ อีกจำนวน 35 สาขาและ 23 สาขาตามลำดับ โดยในปี 2566 ร้านแม็กซ์มาร์ทมีรายได้ที่เติบโต 31% และร้านออโต้แบคส์ มีรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งคิดเป็น 57%
อัตรากำไรที่อ่อนแอเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก
กำไรขั้นต้นจากการขายปลีกน้ำมันต่อลิตรของบริษัทลดลงเหลือ 1.70 บาทในปี 2566 จาก 1.85 บาทในปี 2565 ทั้งนี้ ด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อรัฐบาลจึงได้ดำเนินนโยบายในการจำกัดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและได้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลก ในบางครั้งความไม่สอดคล้องกันระหว่างการจัดการกองทุนน้ำมันของรัฐบาลและราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นซึ่งได้รับอิทธิพลจากระดับค่าการตลาดที่รัฐบาลมองว่าเหมาะสมนั้นอาจส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรมค้าปลีกน้ำมันได้ นอกจากนี้ ส่วนลดจากโครงการให้สิทธิเศษแก่สมาชิกของบริษัทก็มีส่วนทำให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงได้ด้วยเช่นกัน
อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันก็ลดลงด้วย โดยเหลือที่ระดับ 20% จากระดับ 23% ในปี 2565 ในการนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจร้านกาแฟของบริษัทลดลงเหลือ 54% ในปี 2566 จาก 59% ในปี 2565 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนการเติบโตของร้านกาแฟที่เป็นแฟรนไชส์
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจ LPG ก็มีกำไรขั้นต้นต่อหน่วยลดลงตามกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และการให้ส่วนลดแก่สมาชิกด้วยเหตุดังกล่าวจึงส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) ของบริษัทในปี 2566 ลดลงเหลือ 5.7 พันล้านบาทจาก 5.8 พันล้านบาทในปี 2565 แม้ว่ารายได้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
คาดว่าแรงกดดันต่อผลกำไรจะยังคงมีต่อไปในระยะสั้น
ปริมาณการยอดขายน้ำมันรวมของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8.7% ในปี 2567 และประมาณ 5%-7% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2568-2569 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากราคาน้ำมันที่ค่อนข้างสูงแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่านโยบายของรัฐบาลจะยังคงส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออัตรากำไรของน้ำมันต่อไป โดยภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราค่าการตลาดน้ำมันโดยรวมถัวเฉลี่ย (รวมทั้งการค้าปลีกและค้าส่ง) จะยังคงอ่อนตัวโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.66-1.67 บาทต่อลิตรในช่วงระหว่างปี 2567-2568 ก่อนที่จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติในปี 2569 ที่ระดับ 1.76 บาทต่อลิตร
ส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันนั้นคาดว่าจะเติบโตที่ระดับประมาณ 10%-16% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2569 โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนร้านค้าที่เพิ่มขึ้นรวมถึงโครงการสิทธิเศษที่ให้แก่สมาชิกที่มีความแข็งแกร่ง
กรณีดังกล่าวส่งผลให้ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2567-2569 จะอยู่ที่จำนวน 5.8-7.1 พันล้านบาทต่อปี
ภาระหนี้สินทางการเงินคาดว่า จะอยู่ใกล้เคียงกับระดับเดิมก่อนที่จะลดลงเมื่อค่าการตลาดน้ำมันกลับสู่ภาวะปกติ
ในระยะต่อไปค่าใช้จ่ายในการลงทุนของบริษัทมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันและธุรกิจใหม่ ๆ โดยประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งได้รวมประกาศล่าสุดของบริษัทไว้ด้วยแล้ว เช่น การลงทุนใน บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถบรรทุกมือสอง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า เงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2569 ซึ่งทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงสูงกว่าระดับ 4 เท่าเล็กน้อยในช่วงระหว่างปี 2567-2568 ก่อนที่จะลดลงเหลือ 3.4 เท่าในปี 2569 เมื่อทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าค่าการตลาดจะดีขึ้น
หนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ของบริษัทลดลงเหลือ 2.36 หมื่นล้านบาทในปี 2566 จาก 2.72 หมื่นล้านบาทในปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่ลดลงและการปรับการคำนวณหนี้สินตามสัญญาเช่าซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ในการนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงเหลือ 4.1 เท่าในปี 2566
สภาพคล่องที่จัดการได้
ณ เดือนธันวาคม 2566 บริษัทมีรายการหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2.8 พันล้านบาทและภาระหนี้ระยะยาว (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) จำนวน 2.8 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า แหล่งสภาพคล่องของบริษัทนั้นประกอบด้วยเงินสดจำนวน 3.4 พันล้านบาทและประมาณการเงินทุนจากการดำเนินงานที่จำนวน 4.4 พันล้านบาทในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดหาเงินกู้เพื่อนำมาใช้ชำระหนี้ที่จะครบกำหนดส่วนใหญ่เพื่อรองรับการลงทุน
โครงสร้างหนี้
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 บริษัทมีเงินกู้จากธนาคารและหุ้นกู้จำนวน 8.4 พันล้านบาทซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนเงินก่อนจำนวนประมาณ 3.4 พันล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 40%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ปริมาณการขายน้ำมันจะเติบโตที่ระดับประมาณ 8.7% ในปี 2567 และที่ระดับประมาณ 5%-7% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2568-2569
- ราคาขายน้ำมันจะลดลง 5% ในปี 2567 จากนั้นจะลดลง 1% และ 0% ในปี 2568 และในปี 2569 ตามลำดับ
- รายได้จะเพิ่มขึ้น 3.7% ในปี 2567 และจะเพิ่มขึ้น 5%-6% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2568-2569
- ค่าการตลาดน้ำมันโดยรวมจะอยู่ที่ราว 1.66-1.76 บาทต่อลิตร
- เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นจะอยู่ที่จำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2567-2569
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ในขณะที่ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะมีความระมัดระวังในการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขยายไปยังธุรกิจใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถลดระดับหนี้สินลงได้เร็วกว่าที่ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ไว้อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน แรงกดดันต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นในกรณีที่สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเป็นอย่างมากจากการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทมีการลงทุนที่ใช้การก่อหนี้ในระดับสูงมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
PTG252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2567 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html