WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

111199 STI Somkiet

STI ปรับรอบงบปี โชว์ผลงานปี 66 ทำรายได้ 1,746 ล้านบาท ชูนวัตกรรม สะท้อนผู้นำควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร

          บมจ. สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI ปรับรอบระยะเวลาบัญชี เป็นเริ่มต้น 1 ต.ค. – 30 ก.ย.ของทุกปี โชว์ฟอร์มดี เปิดรายได้ปี 2566 มีรายได้จากการให้บริการ 1,746 ล้านบาท กำไร 133 ล้านบาท มองภาพรวมเติบโตต่อเนื่อง จากงานภาครัฐที่กลับมาฟื้นตัวหลังตั้งรัฐบาลและมีการจัดสรรงบประมาณในรอบการดำเนินงานใหม่นี้ พร้อมชูนวัตกรรมมาใช้ในการควบคุมงานก่อสร้าง เพิ่มความแม่นยำและลดเวลา สร้างโอกาสในการรับงาน พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ โดยปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 3,800 ล้านบาท ด้านบอร์ดบริษัท ไฟเขียวจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท กำหนดจ่าย 23 ก.พ. 67 

          นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำในกลุ่มธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เผยผลการดำเนินงานของปี 2566 ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง เดินหน้ารับงานตุนพอร์ตในมืออย่างต่อเนื่อง ทั้งจากงานโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชน งานโครงสร้างพื้นฐาน งานโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยมีการใช้ระบบฐานข้อมูลงานออกแบบและงานก่อสร้าง (BIG DATA) และมีทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 กลุ่ม STI มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 3,800 ล้านบาท

          ทั้งนี้ บริษัทฯ มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาบัญชีจากเดิมเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี เป็นเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี โดยเริ่มเปลี่ยนรอบบัญชีในปี 2566 ดังนั้นงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 จึงจัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลาเก้าเดือนเท่านั้น

          โดยงบเสมือนที่จัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลา 12 เดือน กลุ่ม STI มีผลการดำเนินงานในปี 2566 (1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566) จากรายได้จากการให้บริการจำนวน 1,746.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9 ล้านบาท คิดเป็น 0.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (1 มกราคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565) ปัจจัยมาจาก รายได้ของธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างลดลง 2.1% ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการยังไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาได้ตามแผน แต่เริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ในทางกลับกันรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น 39.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.4% สาเหตุหลักเนื่องมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในส่วนของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) (บริษัทในกลุ่ม) 

          ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 514.4 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.4% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 133.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.6%

          อย่างไรก็ตาม โครงการหลักๆในปัจจุบันของกลุ่ม STI ยังคงมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ One Bangkok โครงการรถไฟฟ้ารางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โครงการรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เป็นต้น

          ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่ม STI ได้กระจายในทุกกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย โดยไฮไลท์ที่โดดเด่นในปีนี้ของ STI อยู่ที่กลุ่มงานโรงพยาบาล ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ถือเป็นผู้นำในด้านการควบคุมงานโรงพยาบาลที่มีผลงานมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญขั้นสูงของวิศวกรเฉพาะทาง ที่จะต้องเข้าใจเครื่องมือเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในการทำงานเพื่อให้สะดวกและแม่นยำของงาน 

          อีกทั้งปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับงานโครงการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานอาคารสีเขียว (GREEN BUILDING) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สู่ความยั่งยืน โดยวิศวกรของ STI พร้อมทำงานด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีความเข้าใจกฎระเบียบต่างๆ เพื่อส่งมอบอาคารที่มีคุณสมบัติสอดคล้องตามมาตรฐานสากล 

          นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายว่า “STI เรามั่นใจว่ายังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในปีหน้า จากงานของภาครัฐที่เริ่มฟื้นตัวหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ งบประมาณเริ่มมีการเคลื่อนไหว อีกทั้ง STI เรายังนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้สำหรับการควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมเดินหน้าลุยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สะท้อนจากงานในมือที่เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง”

          อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทเห็นชอบให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท จากกำไรสุทธิในงวดผลประกอบการวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 และกำหนดจ่ายปันผลภายใน 23 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการให้สิทธิในการรับเงินปันผลยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 24 มกราคม 2567 

 

 

111199

Click Donate Support Web 

Banner GPF720x100 PX

CKPower 720x100

MTL 720x100

SME 720x100 66

kbank 720x100 66

TOA 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100

ais 720x100

QIC 720x100

gen 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!