- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 18 June 2023 21:27
- Hits: 66
ฟิทช์ คงอันดับเครดิต ของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ที่‘A-(tha)’
ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ -16 มิถุนายน 2566: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด หรือ NNEG ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวให้แก่หุ้นกู้ชุดใหม่ ซึ่งไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ จำนวนไม่เกิน 1.25 พันล้านบาท ที่ ‘A-(tha)’
การประกาศคงอันดับเครดิตของสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ ว่ากำไรของ NNEG จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 ไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในอดีต ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก การปรับราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้นในช่วงต้นปี และแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง หลังจากผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2565 เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และการปรับราคาค่าไฟฟ้าที่ช้ากว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม รวมถึงการหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจำนวน 3 สัปดาห์ ตามแผนการซ่อมบำรุงหลักขอ่งบริษัท
ฟิทช์ คาดว่า สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกําไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.3 เท่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทหากอัตราส่วนหนี้สินสูงกว่าระดับดังกล่าว ทั้งนี้อันดับเครดิตของ NNEG ยังได้รับการสนับสนุนจาก ความต้องการไฟฟ้าที่มีความผันผวนต่ำ และกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
กำไรที่ดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทจะฟื้นตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ในปี 2566 จากร้อยละ 5 ในปี 2565 จากราคาค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นในส่วนของการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม และต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำลง
โดยฟิทช์คาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 24 ในปี 2567 และ EBITDA ที่ 1.2 พันล้านบาท จากค่าไฟฟ้าที่มีความผันผวนน้อยลง ตามการคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติของฟิทช์ โดยฟิทช์คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงตามการประมาณการของฟิทช์ รวมถึงผลผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศที่น่าจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 ซึ่งมีราคาถูกกว่าราคาก๊าซธรรมชาติที่มีการนำเข้า
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนในการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 30 เมกะวัตต์ และไอน้ำอีก 5 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น แลจะทำให้โรงไฟฟ้าโดยรวมมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากการรวมกำลังผลิตใหม่กับกำลังการผลิตเดิม บริษัทได้เลื่อนแผนการผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ของโครงการขยายกำลังการผลิตไปเป็นช่วงสิ้นปีของปี 2567
ค่าใช้จ่ายในการลงทุนปานกลาง: ฟิทช์คาดว่า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วงปี 2566-2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขยายกำลังผลิตไฟฟ้าจำนวนประมาณ 1.7 พันล้านบาท โดยมีแหล่งเงินมาจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ จำนวน 1.25 พันล้านบาท และ การเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 474 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ซึ่งไม่สูงมากนัก เนื่องจากการบำรุงรักษาของโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่เป็นไปตามสัญญาบริการและบำรุงรักษาซึ่งจะรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
สัดส่วนหนี้สินในระดับปานกลาง: ฟิทช์คาดว่า EBITDA net leverage ของบริษัทจะปรับตัวลดลงอยู่ระดับประมาณ 4 เท่าจากระดับมากกว่า 10 เท่าในปี 2565 และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทในช่วงการลงทุนในปี 2566-2567 ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่า NNEG จะมีกระแสเงินสดสุทธิกลับมาเป็นบวก หลังการขยายกำลังการผลิตเสร็จสิ้นในปี 2567 จากการฟื้นตัวของผลประกอบการ และไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนขนาดใหญ่อื่นๆ
สัญญาซื้อขายระยะยาว: กำไรของ NNEG ได้รับประโยชน์จาก สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) ภายใต้โครงการจัดซื้อไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กของไทย โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ในลักษณะ take or pay ภายใต้โครงการดังกล่าว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าจำนวน 90 เมกะวัตต์ หรือประมาณร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัทฯ
ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.;อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ’BBB+’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ในขณะที่บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือและไอน้ำจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 179 เมกะวัตต์ ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาซื้อขายระยะยาว ซึ่งมีระยะเวลาสัญญาเหลือเฉลี่ยประมาณ 14 ปี
ความผันผวนของความต้องการไฟฟ้าที่ต่ำ: ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ของบริษัทกับ กฟผ.นั้น กฟผ.จะต้องรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตที่ได้ตกลงกันไว้ แม้ว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับลูกค้าอุตสาหกรรมจะไม่มีข้อกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำ แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนจากความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำที่อยู่ในระดับสูงในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร
ซึ่งมีการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 400 เมกะวัตต์ และการกระจายตัวของลูกค้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยอัตราการใช้กำลังการผลิต (utilisation rate) มีอัตราที่ความผันผวนต่ำและอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 80 รวมทั้งการที่บริษัทสามารถในเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตใหม่ ที่ผ่านมา และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้าอุตสาหกรรมสำหรับโครงการขยายกำลังการผลิตใหม่ประมาณ 30 เมกะวัตต์
ความเสี่ยงด้านราคาในระดับต่ำ: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว กับ กฟผ.นั้น มีการส่งผ่านค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนเชื้อเพลิงและจากอัตราแลกเปลี่ยนของ NNEG ไปยังค่าไฟฟ้าได้ ในขณะที่การจำหน่ายไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมจะมีการคำนวณราคาขายแบบต้นทุนบวกกำไร
อย่างไรก็ตาม กำไรจากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นมีความเสี่ยงด้านราคาอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าจะใช้ราคาเชื้อเพลิงเข้ามาร่วมประกอบการพิจารณา แต่การปรับค่าไฟฟ้าแต่ละครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งทำให้อาจส่งผลกระทบในระยะสั้นต่อกำไรของบริษัทฯ ถึงแม้ว่าการปรับค่าไฟฟ้าจะมีถูกปรับให้อยู่ในระดับสมดุลในระยะ2-3ปี
ความเสี่ยงจากการมีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว: NNEG มีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว ซึ่งมีขนาดเล็กและไม่มีการกระจายตัวของรายได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับอันดับเครดิตของ NNEG รายได้และกระแสเงินสดของ NNEG อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญหากโรงไฟฟ้ามีการหยุดเดินเครื่องโดยไม่ได้วางแผนไว้
หรือประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าลดลง อย่างไรก็ตามสัญญาการว่าจ้างการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้ากับ กฟผ. และสัญญาบริการระยะยาวกับ Siemens AG (Siemens, A+/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และระบบป้องกันน้ำท่วมถาวร น่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าว
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
ลักษณะรายได้และกระแสเงินสดของ NNEG มีความคล้ายคลึงกับ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) (GPSC; ‘A+(tha)’/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, อันดับเครดิตโดยลำพัง ‘a-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศไทย
โดยบริษัททั้งสองมีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ จากความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่ต่ำเนื่องสัญญาซื้อขายระยะยาว อย่างไรก็ตาม NNEG มีกระจายตัวของสินทรัพย์ และกระแสเงินสดจากการดำเนินการที่น้อยกว่า GPSC อย่างมีนัยสำคัญ
ฟิทช์ คาดว่า NNEG จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า GPSC ในช่วง 2-3ปีข้างหน้า เนื่องจาก GPSC มีค่าใช้ด้านการลงทุนขนาดใหญ่ ดังนั้นอันดับเครดิตของ NNEG จึงเท่ากับ อันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC ถึงแม้ว่า GPSCจะมีขนาดสถานะทางธุรกิจที่ดีกว่า
NNEG มีลักษณะกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในลักษณะใกล้เคียงกับ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS; ‘BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยานภายในท่าอากาศยานหลักของประเทศ บริษัทท้ังสองจึงมีรายได้ที่สม่ำเสมอ และสามารถคาดการณ์ได้
อย่างไรก็ตาม ความสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ของกระแสเงินสดของ BAFS ได้รับผลกระทบชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก และการลงทุนขนาดใหญ่ในด้านท่อขนส่งน้ำมันและธุรกิจโรงไฟฟ้าหมุนเวียนในช่วงปี 2563-2567
ในขณะที่ NNEG มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่าและมีการกระจายตัวของรายได้ที่น้อยกว่า และมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนในส่วนต่อขยาย อย่างไรก็ตาม BAFS มีอันดับเครดิตต่ำกว่า NNEG หนึ่งอันดับเนื่องจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่า NNEG อย่างมาก
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG; ‘A-(tha)’/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ประเภท EPDM, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกของประเทศ
โดย EPG มีการกระจายตัวของสินทรัพย์และมีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่กว่า เมื่อเทียบกับ NNEG แต่คาดการณ์ได้ของกระแสเงินสดของ EPG อยู่ในที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่า EPG จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า GPSC ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้นอันดับเครดิตของ EPG จึงเท่ากับ อันดับเครดิตของ NNEG
สมมติฐานที่สาคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- การขายไฟฟ้าให้กับกฟผ.และความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรม มีอัตราที่ค่อนข้างคงที่ในช่วงปี 2566-2568
- EBITDA margin เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 จากอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 23-24 ในช่วงปี 2567 เป็นต้นไป จากแนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง
- ค่าใช้จ่ายในการลงทุนรวม 2.0 พันล้านบาท ในช่วงปี 2566-2568 ซึ่งรวมถึงโครงการขยายกำลังการผลิตใหม่ จำนวน 1.7 พันล้านบาท
- อัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 80 ในปี 2567 เป็นต้นไป
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- การปรับเพิ่มอันดับเครดิตไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของธุรกิจที่มีขนาดเล็กและไม่มีการกระจายตัวของรายได้
ปัจจัยลบ:
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO net leverage) และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรที่ได้จากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 4.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่ดี: ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 NNEG มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท โดยหนี้จำนวน 372 ล้านบาทป็นหนี้ที่จะครบกำหนดชำระคืนภายในปี 2566 ทั้งนี้สภาพคล่องของบริษัทมาจากเงินสดหรือเงินสดเทียบเท่า ประมาณ 519 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 และ ฟิทช์คาดว่า บริษัทมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ระดับประมาณ 1.0-1.2 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2566-2568
ข้อมูลของบริษัท
NNEG เป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบโคเจนเนอเรชั่นของบริษัทตั้งอยู่ที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร โดยลูกค้าหลักคือ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน 179 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 40 ตันต่อชั่วโมง
ติดต่อ
Primary Analyst
ชาลี ฉัตรเสถียรพงศ์
Associate Director
+66 2 108 0162
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
Secondary Analyst
โอบบุญ ถิรจิต
Senior Director
+66 2 108 0159
Committee Chairperson
Muralidharan Ramakrishnan
Senior Director
+65 6796 7236
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com