- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 04 June 2023 22:34
- Hits: 2152
ฟิทช์ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต บจ.เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ เป็นลบ; คงอันดับเครดิต ที่ ‘A-(tha)’
ฟิทช์ เรทติ้งส์ – กรุงเทพฯ – 31 พฤษภาคม 2566: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิต บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC เป็นแนวโน้มเครดิตเป็นลบ จากแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘A-(tha)’
แนวโน้มเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่การปรับตัวดีขึ้นของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ฟิทช์คาดในช่วง 2 ปีข้างหน้าอาจไม่เป็นไปตามที่คาด ฟิทช์ คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาทภายในปี 2568 ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.0 เท่า
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของ HMC อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต หากอุปสงค์หรือส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ไม่ฟื้นตัวตามที่ฟิทช์คาด หรือถ้าบริษัทฯ มีการลงทุน หรือจ่ายเงินปันผลมากกว่าที่ฟิทช์คาด ซึ่งอาจทำให้การลดลงของอัตราส่วนหนี้ของบริษัทฯ ล่าช้าลง
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ HMC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ HMC ที่อยู่ที่ ‘bbb+(tha)’ ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระดับปานกลางระหว่างบริษัทฯ กับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ ‘a+(tha)’) ซึ่งถือผู้หุ้นรายใหญ่ที่สุดของ HMC โดยถือหุ้นร้อยละ 41
อันดับเครดิตโดยลำพังของ HMC สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจ โดยเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถมุ่งเน้นในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้ถูกลดทอนจากการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่จำกัด ความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมี และอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่ฟิทช์คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
กำไรที่ยังคงอ่อนแออยู่ : ฟิทช์ คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ HMC จะยังคงอ่อนแออยู่ในปี 2566 โดยอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์โพลีโพรพิลีน (PP) ใหม่ในอุตสาหกรรมซึ่งจะมาจากประเทศในเอเชียเป็นส่วนใหญ่ น่าจะกดดันส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ
ในขณะที่ ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะอ่อนตัวลงบ้างจากปี 2565 อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ HMC น่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่ม จากการเริ่มการผลิตของโครงการ PP line 4 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565
และกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ HMC น่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 1.9 พันล้านบาทในปี 2567 เนื่องจากฟิทช์คาดว่าส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบจะกลับไปอยู่ในระดับเฉลี่ยตลอดวัฏจักรของอุตสาหกรรมในปี 2568-2569
HMC มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายติดลบ 149 ล้านบาทในปี 2565 เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ลดลงอย่างมาก โดยส่วนต่างระหว่างราคา PP กับวัตถุดิบโพรพิลีน (Propylene) ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในปี 2565 เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ราคาโพรเพน (Propane) ซึ่งเป็นวัตถุดิบอีกชนิด มีการปรับตัวขึ้นมากกว่า ซึ่งทำให้ส่วนต่างกำไรของบริษัทฯ ลดลงไปอีกในปี 2565 ฟิทช์ คาดว่า ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ PP จะยังคงมีความผันผวนในปี 2566 โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ จะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำและมีการฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยจากในปี 2565
การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ยังคงมีความเสี่ยง : ฟิทช์ คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ จะอยู่สูงกว่า 3.3 เท่าในปี 2566-2567 เนื่องจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแออยู่ และหนี้สินสุทธิของบริษัทฯ ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 เนื่องจากฟิทช์ประมาณการว่าบริษัทฯ จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบอยู่
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าหนี้สินสุทธิของบริษัทฯ จะลดลงในปี 2567-2568 และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 3.0 เท่าในปี 2568 เมื่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในปี 2567-2568 ไปอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาทในปี 2568 ฟิทช์คาดว่าบริษัทจะงดจ่ายเงินปันผลจนถึงปี 2569 จนกว่าบริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเป็นบวก
ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ลดลง: ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ HMC น่าจะลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ หลังจากโครงการ PP line 4 แล้วเสร็จ HMC มีแผนที่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 3.1 พันล้านบาท ในปี 2566-2568 สำหรับการซ่อมบำรุงทั่วไป และการซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงงาน Propane Dehydrogenation
มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม: HMC มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งจะมีการแข่งขันที่น้อยกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 50-55 ของยอดขายในปี 2563-2565 จากประมาณร้อยละ 35 ในปี 2558 แม้ว่าสัดส่วนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะลดลงในปี 2566 ในช่วงการเริ่มดำเนินการผลิตโครงการ PP line 4
บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้สูงขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 70 ภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็น Commodity grade โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรสูงกว่าคู่แข่ง
ผู้นำในธุรกิจ PP ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: HMC เป็นผู้ผลิต PP รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสาม กำลังการผลิต PP ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1 ล้านตันต่อปีในปี 2565 หลังจาก PP line 4 แล้วเสร็จ ซึ่งทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิต PP รายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ สถานะทางการตลาดของบริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยเสริมจากการที่บริษัทฯ มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว รวมถึงการผลิตวัตถุดิบบางส่วนเอง โดยมีการผลิตโพรพิลีนจากโรงงาน Propane Dehydrogenation
ผู้นำในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์: HMC ใช้เทคโนโลยีการผลิต PP ชั้นนำของโลกจาก LyondellBasell Industries N.V. (อันดับเครดิตที่ BBB แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ
นอกจากนี้ PP line 4 ใช้เทคโนโลยีการผลิต PP ที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในสองโรงงานในโลกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ที่จะสามารถใช้ C6 (Hexene co-monomer) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของ PP และเพิ่มชนิดของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานใหม่ๆ
HMC เป็นผู้นำในการผลิต PP ที่ใช้ในการผลิตท่อและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิต PP รายแรกของโลกที่ทำแผ่นฟิล์มไดอีเลคตริค ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทฯ จะขายภายใต้เครื่องหมายการค้าของ LyondellBasell ซึ่งเป็นยอมรับทั่วโลก
ความผันผวนของธุรกิจและความหลากหลายที่จำกัด: อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำกัด และความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ กำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ จะถูกกระทบอย่างมากจากความผันผวนของราคา
และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และอุปสงค์และอุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ HMC มีผลิตภัณฑ์ PP เพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์น้อยกว่าผู้ผลิตปิโตรเคมีรายอื่นในประเทศ
ความเชื่อมโยงกับ PTTGC: ฟิทช์ประเมินแรงจูงใจของ PTTGC ในการให้การสนับสนุนแก่ HMC อยู่ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) HMC เป็นผู้รับซื้อโพรพิลีนรายใหญ่ของ PTTGC และเป็นบริษัทหลักในธุรกิจ PP ของ PTTGC
นอกจากนี้ PTTGC ยังมีข้อตกลงที่จะไม่แข่งขันกับ HMC ในธุรกิจนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในเชิงกลยุทธ์ของทั้งสองบริษัท ฟิทช์ เชื่อว่า PTTGC มีแนวโน้มที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ HMC มากกว่าสัดส่วนการถือหุ้นหากจำเป็น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ฟิทช์พิจารณาว่า แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ HMC ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) อยู่ในระดับปานกลาง
PTTGC ไม่ได้มีอำนาจควบคุมการบริหารทั้งหมดของ HMC เนื่องจาก LyondellBasell มีตัวแทนเป็นคณะกรรมการของ HMC และมีส่วนร่วมในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของ HMC โดยมีการหมุนเวียนกันเป็นผู้บริหารระดับสูงของ HMC
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทฯ ขายภายใต้เครื่องหมายการค้าของ LyondellBasell ดังนั้น ฟิทช์ประเมินแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ HMC ในด้านความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) อยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกันกับแรงจูงใจทางกฎหมาย (Legal incentive)
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
HMC มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขั้นปลาย และปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต ในขณะที่สถานะทางการเงินก็อยู่ในระดับปานกลางในช่วงเฉลี่ยของวัฏจักรของอุตสาหกรรม
HMC มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า และมีธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้นและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (อันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb(tha)’)
อย่างไรก็ตาม HMC มีเทคโนโลยีด้านการผลิตสูงกว่า และผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ากว่า IRPC และมีอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่สูงกว่า IRPC แม้ว่า จะไม่พิจารณารวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจาก HMC มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว
ประกอบกับ HMC มีสถานะทางการเงินที่คาดการว่าจะแข็งแกร่งกว่า ซึ่งสอดคล้องกับสถานะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น HMC จึงมีอันดับเครดิตโดยลำพังสูงกว่าอันดับเครดิตโดยลำพังของ IRPC อยู่หนึ่งอันดับ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทเผชิญกับความเสี่ยงที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งสะท้อนอยู่ในแนวโน้มเครดิตเป็นลบของทั้งสองบริษัท
ฟิทช์ มองว่า HMC มีสถานะทางธุรกิจดีกว่าบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตโพลิเมอร์และพลาสติกซึ่งได้แก่ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ อยู่เล็กน้อย
ฟิทช์ เชื่อว่า การเป็นผู้นำในธุรกิจ PP ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยลดทอนการที่บริษัทมีการกระจายตัวทางธุรกิจตามภูมิภาคที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ PTL และความหลากหลายของธุรกิจของลูกค้าที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ EPG อย่างไรก็ตาม HMC มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า ซึ่งทำให้อันดับเครดิตโดยลำพังของ HMC อยู่ต่ำกว่า PTL และ EPG
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ปริมาณการขายเพิ่มประมาณร้อยละ 28 ในปี 2566 (ปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6) เนื่องจากการเริ่มการผลิต PP line 4 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 และเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2-4 ต่อปี ในปี 2567-2568
- ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบค่อนข้างคงที่ในปี 2566 แล้วค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2567-2568
- เงินลงทุน 3.1 พันล้านบาท ในปี 2566-2568
- ไม่มีการจ่ายเงินปันผลจนกระทั่งปี 2569 (จากผลประกอบของปี 2568)
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากบริษัทฯ สามารถลด EBITDA net leverage ลงมาอย่างต่อเนื่อง ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.3 เท่าได้ภายในปี 2568 ในขณะที่แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC ยังเหมือนเดิม
ปัจจัยลบ :
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาด การเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนที่ใช้หนี้เป็นแหล่งเงินทุน หรือการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น อันเป็นผลให้อัตราส่วน EBITDA net leverage สูงกว่า 3.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับ PTTGC ที่ลดน้อยลง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้: HMC มีหนี้สินอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 1.1 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 5 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินจำนวน 8.1 พันล้านบาท
โดยหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 2.6 พันล้านบาท (รวมเงินกู้ระยะสั้น) และกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะติดลบในปี 2566 จะได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.4 พันล้านบาท
และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้จากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 7.5 พันล้านบาท HMC เพิ่งได้รับวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่สามารถยกเลิกได้ อายุสัญญา 3 ปี กับ 5 ปี จากธนาคารในประเทศ 2 แห่งในเดือนมกราคม และพฤษภาคม 2566
ข้อมูลของบริษัท
HMC เป็นผู้ผลิต PP รายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยบริษัทฯ มีสายการผลิต PP อยู่ 4 สายการผลิต มีกำลังการผลิตรวมที่ 1.06 ล้านตันต่อปี โดย PP line 4 แล้วเสร็จและเริ่มการผลิตในเดือนธันวาคม 2565 ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ขายภายใต้เครื่องหมายการค้าของ LyondellBasell
สรุปรายการปรับปรุงงบการเงินที่สาคัญ
หุ้นบุริมสิทธิที่ถือโดยผู้ถือหุ้นตามสัดส่วน ไม่ได้นับรวมเป็นหนี้สิน
ติดต่อ
Primary Analyst
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล
Senior Director
+66 2 108 0158
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
Secondary Analyst
โอบบุญ ถิรจิต
Director
+66 2 108 0159
Muralidharan Ramakrishnan
Senior Director
Committee Chairperson
+65 6796 7236
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com