- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Thursday, 06 April 2023 17:59
- Hits: 1838
ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ของ บมจ.ไทยออยล์ ที่ ‘A+(tha)’
ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 3 เมษายน 2566: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 1.0 หมื่นล้านบาท ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) ที่ ‘A+(tha)’
หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ และได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP เช่นเดียวกันกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของบริษัทฯ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ยังคงท้าทาย: แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อการปรับลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ เนื่องจากความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการ Clean-fuel หรือ CFP ที่ทำให้กำหนดการเริ่มดำเนินงานได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นในปี 2567-2568 TOP ได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในปี 2565 ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวลดลงในปี 2566 แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่
ฟิทช์ คาดว่า ความล่าช้าของโครงการ CFP และค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของโครงการที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่วัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่าในปี 2566-2567 ก่อนที่ปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 4.5 เท่าในปี 2568
หลังจากโครงการ CFP เริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ อัตราส่วนหนี้สินของ TOP อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง หากความต้องการใช้น้ำมัน หรือค่าการกลั่นน้ำมัน ปรับตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือความตึงตัวของอุปทานน้ำมันที่ลดลง
โครงการ CFP มีความล่าช้ามาก: การเริ่มดำเนินงานของโครงการ CFP จะล่าช้าออกไปเกือบ 2 ปีจากแผนการเดิม เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบได้ในช่วงต้นปี 2568 อย่างไรก็ตามหน่วยผลิตของโครงการบางส่วนจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าความล่าช้าดังกล่าวจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในโครงการเพิ่มประมาณร้อยละ 10 ของมูลค่าโครงการ หรือประมาณ 450 ถึง 550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ฟิทช์ ประมาณการว่า จะเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการ ในปี 2568 เป็นต้นไป
แผนการลงทุนที่ไม่สามารถเลื่อนได้ในระดับสูง: TOP มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในระดับสูงในปี 2566-2567 เนื่องจากบริษัทฯ กำลังก่อสร้างโครงการ CFP นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอายุครบ 25 ปี ในเดือนมีนาคม 2566
TOP มีแผนจะใช้เงินลงทุนจำนวนประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ไม่รวมเงินที่คาดว่า จะได้จากการขายหน่วย Energy Recovery (ERU)) สำหรับ 2 โครงการนี้ (เงินลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการ CFP) ในปี 2566-2568 ซึ่งจะทำให้ TOP มีกระแสเงินสดสุทธิเป็นลบในปี 2566-2567
Recapitalization Plan เป็นไปตามแผน: แผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงิน (Recapitalization Plan) หลังการเข้าซื้อหุ้นของ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk หรือ CAP แล้วเสร็จเป็นไปตามแผน
โดย TOP ได้ขายหุ้นร้อยละ 10.8 ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (อันดับเครดิตที่ BBB-/ A+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่บริษัทฯ ถืออยู่ ซึ่งได้รับเงินจำนวนประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท (ก่อนภาษีเงินได้) และใช้เงินดังกล่าวชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging loan) ในไตรมาสที่สอง ปี 2565 บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในเดือนกันยายน ถึง ตุลาคม 2565 ซึ่งได้รับเงินจำนวนประมาณ 1.04 หมื่นล้านบาท
การขยายเทอมการชำระเงิน: TOP ได้เริ่มขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. (อันดับเครดิต BBB+/AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยถือหุ้นโดยตรงอยู่ร้อยละ 45 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 โดยเทอมการชำระเงินดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 90 วัน ณ สิ้นปี 2565 จากปกติ 30 วัน
ซึ่งช่วยลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่มากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินให้กับ TOP ในการบริหารจัดการอัตราส่วนหนี้สินและสภาพคล่องของบริษัทฯ ในช่วงที่มีการลงทุนสูง โดยทั้งสองบริษัทจะมีการทบทวนข้อตกลงต่างๆ เป็นรายปี และเทอมการการชำระเงินนี้สามารถต่ออายุได้โดยการตกลงร่วมกัน
CFP เพิ่มศักยภาพธุรกิจ: CFP จะช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันของ TOP และความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีมูลค่าสูงได้มากขึ้น และทำให้บริษัทฯ สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักมากขึ้นได้ กระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่สูงของ TOP ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดหาน้ำมันดิบ และช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และสร้างอัตราส่วนกำไรที่สูงเมื่อเทียบกับโรงกลั่นอื่นๆ ในประเทศ
การขยายกิจการเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีตามแผน: การเข้าซื้อหุ้น CAP เป็นไปตามแผนของบริษัทฯ ในการกระจายแหล่งที่มาของกำไรที่ปัจจุบันมาจากธุรกิจปิโตรเลียมเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม TOP มีความสามารถในการเข้าถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ CAP ในระดับจำกัด ซึ่งจะอยู่ในรูปของเงินปันผลรับ เนื่องจาก TOP เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
อย่างไรก็ตาม TOP จะได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ (Feedstock sales and purchase agreement) กับ CAP ซึ่งจะช่วยรองรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum gas) และแนฟทา (Naphtha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากโครงการ CFP แม้ว่าข้อตกลงเรื่องราคาและข้อตกลงอื่นๆ เป็นไปตามเงื่อนไขการค้าที่ยุติธรรม (Arm’s length)
ความสัมพันธ์กับปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TOP ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของบริษัทฯ ที่อยู่ที่ ‘a-(tha)’ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ TOP ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology)
ฟิทช์ เชื่อว่า ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง TOP เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญต่อ ปตท. ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฟิทช์พิจารณาว่า แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ TOP ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน (Operational incentive) อยู่ในระดับปานกลาง
ในขณะที่แรงจูงใจทางกฎหมาย (Legal incentive) อยู่ในระดับต่ำ
TOP เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของ ปตท. อีกทั้ง TOP มีแนวโน้มที่จะเป็นบริษัทหลักของ ปตท. ในการขยายธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โดย TOP เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปให้กับ ปตท. คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมดที่ ปตท. จัดจำหน่าย
นอกจากนี้ ปตท. ยังขยายเทอมการชำระเงินสำหรับการซื้อน้ำมันดิบให้กับ TOP เพื่อช่วยรักษากระแสเงินสดและลดความต้องการใช้เงินกู้ในช่วงที่มีการลงทุนสูง และรับซื้อหุ้น GPSC ตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินหลังการเข้าซื้อหุ้น CAP
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและโรงกลั่นที่มีการผลิตแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัท สถานะทางธุรกิจของ TOP แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ที่ค่อนข้างสูง
TOP มีโรงกลั่นน้ำมันที่คอมเพล็กซ์กว่าและมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า IRPC (อันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb(tha)) แม้ว่า IRPC จะมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่า
นอกจากนี้ TOP ยังสามารถดำเนินการกลั่นน้ำมันโดยใช้กำลังการผลิตที่เต็มที่มากกว่า ซึ่งทำให้มีอัตราส่วนกำไรโดยเฉลี่ยสูงกว่า ทั้งสองบริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ใกล้เคียงกัน แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินของ TOP จะสูงกว่าในช่วงการดำเนินการก่อสร้างโครงการ CFP ดังนั้น สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP จึงอยู่สูงกว่าของ IRPC
TOP มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ PTTGC (อันดับเครดิตที่ AA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ; สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a+(tha)) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า เนื่องจากมีการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า ดังนั้นสถานะทางเครดิตโดยลำพังของ TOP จึงอยู่ต่ำกว่าของ PTTGC
สมมุติฐานที่สำคัญ:
ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 เป็นต้นไป โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ TOP
ค่าการกลั่นอ่อนตัวลงในปี 2566-2567
การใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ร้อยละ 100-105 ในปี 2566-2567 และร้อยละ 85-90 ในปี 2568-2569 เมื่อโครงการ CFP เริ่มดำเนินการ
กำไรของธุรกิจอะโรเมติกส์ยังคงอ่อนแออยู่ในปี 2566 ในขณะที่กำไรของธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ปรับตัวลดลง
ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจำนวน 841 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566-2568 ซึ่งครอบคลุมการลงทุนในโครงการ CFP (ซึ่งพิจารณารวมถึงเงินที่ได้จากการขาย ERU) โครงการโรงผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ค่าใช้จ่ายลงทุนที่อยู่ในแผน และค่าใช้จ่ายเพื่อการบำรุงรักษา
เงินลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการเข้าซื้อหุ้น CAP ในปี 2567
การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. เป็น 90 วันในปี 2566-2567 จาก 30 วัน
อัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 40-50
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากบริษัทฯ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการลดอัตราส่วน EBITDA net leverage ให้ไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 4.5 เท่าในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยลบ:
อัตราส่วน EBITDA net leverage อยู่ในระดับสูงกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก ปตท. ที่ลดลง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่เพียงพอ: TOP มีสภาพคล่องที่เพียงพอ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 4.4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งมากพอที่จะรองรับหนี้สินจำนวน 2.2 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนจากเดือนธันวาคม 2565
สภาพคล่องของบริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินกู้ที่มีกับ ปตท. จำนวน 2 พันล้านบาท รวมถึงวงเงินกู้ประเภท Committed จำนวนประมาณ 210 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และวงเงินกู้ทั่วไปจำนวนประมาณ 304 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากสถาบันการเงิน รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีความสามารถในการระดมทุนผ่านตลาดทุน
ฟิทช์ คาดว่า TOP จะมีกระแสเงินสดสุทธิติดลบในปี 2566-2567 เนื่องจากการลงทุนที่สูง ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้การกู้เงินในการลงทุน นอกจากนี้ TOP ยังมีกำหนดการชำระคืนหนี้ที่อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ โดยมีอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 14.5 ปี
เกี่ยวกับบริษัท
TOP เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์และเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการกลั่นน้ำมันที่ 275,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน หลังจากโครงการ CFP แล้วเสร็จ
บริษัทฯ ยังได้กระจายธุรกิจไปยังธุรกิจอะโรเมติกส์และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น รวมถึงธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจสารทำละลาย เอทานอล และผลิตไฟฟ้า
ติดต่อ
Primary Analyst
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล
Senior Director
+66 2 108 0158
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
Secondary Analyst
โอบบุญ ถิรจิต
Director
+66 2 108 0159
Committee Chairperson
Muralidharan Ramakrishnan
Senior Director
+65 6796 7236
วันที่ของ Rating Committee ที่เกี่ยวข้อง: 30 สิงหาคม 2565
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com