- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 03 April 2023 07:17
- Hits: 1942
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.สยามโกลบอลเฮ้าส์’ ที่ ‘A’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจ และเงินทุนหมุนเวียนที่บริหารจัดการได้
นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังพิจารณาถึงความกังวลจากการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีระดับภาระหนี้ที่สูงขึ้นจากการขยายสาขา รวมถึงวงจรที่มีลักษณะขึ้นลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยอันเนื่องมาจากสภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำทางการตลาด
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน บริษัทมีฐานรายได้และกำไรอยู่ใน 3 อันดับแรกของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานที่ระดับ 3.4-3.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565 เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.6-2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2561-2563
ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.5 พันล้านบาทในปี 2564-2565 จากระดับ 3.5-3.8 พันล้านบาทในปี 2561-2563 อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 13%-16% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งยังคงอยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 10%-16%
ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งหมด 77 แห่งซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศและอีก 1 แห่งในประเทศกัมพูชา ทุกสาขาของบริษัทในประเทศไทยนั้นมีทำเลตั้งอยู่ในเขตต่างจังหวัด โดยประมาณ 40% ของจำนวนสาขาทั้งหมดตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส่วนที่เหลืออยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ นอกจากสาขาของบริษัทเองแล้ว บริษัทยังลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศลาว เมียนมา และอินโดนีเซียผ่านกิจการร่วมค้า (Joint Venture) อีกด้วย โดยบริษัทมีสาขาที่เปิดดำเนินการผ่านกิจการร่วมค้าทั้งสิ้น 30 แห่ง ณ สิ้นปี 2565
คาดว่าการเติบโตของรายได้จะอยู่ในระดับปานกลาง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ในระดับคงที่ในปี 2566 และเติบโต 7%-8% ต่อปีในปี 2567-2568 โดยคาดว่ารายได้ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับ 3.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.8-4.1 หมื่นล้านบาทในปี 2567-2568
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตในระดับปานกลางตามสมมติฐานของทริสเรทติ้งที่มองว่าอัตราการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิมของบริษัทจะอ่อนตัวลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจะมีการขยายสาขาใหม่จำนวน 6 แห่งในแต่ละปี
บริษัทมีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมเท่ากับ 2.5% ในปี 2565 ลดลงจาก 19% ในปี 2564 โดยอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมในปี 2565 ได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของบริษัทในปี 2566 จะยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมจะเท่ากับ -3% ในปี 2566 และเติบโตที่ระดับ 2%-3% ต่อปีในปี 2567-2568
อัตรากำไรที่น่าพึงพอใจ
อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากการที่บริษัทมีรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทมากขึ้นและราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 25% ของยอดขายรวมในปี 2564-2565 จากประมาณ 20% ในปี 2562-2563
ทั้งนี้ อัตรากำไรของบริษัทจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากตามราคาเหล็ก ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจึงปรับตัวดีขึ้นเป็น 26%-27% ในปี 2564-2565 จาก 23%-25% ในช่วงหลายปีก่อนหน้า นอกจากนี้ EBITDA Margin ของบริษัทยังเพิ่มขึ้นเป็น 16% ในปี 2564-2565 จาก 13%-14% ในปี 2560-2563
ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะลดลง มาอยู่ที่ระดับ 24%-26%
ในปี 2566-2568 จากราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลงและการแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5 พันล้านบาท และ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 12%-14% ตลอดช่วงประมาณการ
เงินทุนหมุนเวียนที่สามารถบริหารจัดการได้
สินค้าวัสดุก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วน 60% ของรายได้รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากสินค้าฮาร์ดแวร์และสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัทมีการจัดหาแหล่งผลิตสินค้าส่วนใหญ่จากต่างประเทศซึ่งต้องใช้ระยะเวลานำเข้าเป็นเวลานานกว่าสินค้าที่มีแหล่งผลิตภายในประเทศ
ดังนั้น บริษัทจึงต้องสำรองปริมาณสินค้าคงคลังจำนวนมากเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อการจัดจำหน่าย บริษัทจึงมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาวโดยเฉลี่ย 210 วันในปี 2561-2564 อย่างไรก็ตาม วงจรเงินสดของบริษัทสั้นลงต่ำกว่า 200 วันในปี 2565 จากการที่บริษัทมีการวางแผนการจัดหาสินค้าและการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของบริษัท ทำให้ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความจำเป็นที่ต้องสำรองสินค้าคงคลังล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราการหมุนของสินค้าคงคลังและวงจรเงินสดของบริษัทนานขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วบริษัทจะใช้เงินกู้ยืมระยะสั้นเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการจัดหาสินค้าคงคลังและจะใช้เงินกู้ระยะยาวเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุน
ระดับหนี้สินทางการเงินจะเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายสาขาใหม่
ทริสเรทติ้ง มองว่า ภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่บริษัทมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในปี 2565 บริษัทเปิด 2 สาขาใหม่ และมีรายจ่ายฝ่ายทุน 1.4 พันล้านบาท โดยจำนวนการขยายสาขาใหม่และรายจ่ายฝ่ายทุนดังกล่าวต่ำกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศที่ยังไม่เอื้ออำนวยทำให้บริษัทเลื่อนการเปิดสาขาใหม่ออกไปในปีที่แล้ว
ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจึงปรับดีขึ้นเป็น 2.4 เท่าในปี 2565 จาก 2.7 เท่าในปี 2564 และ 3.8 เท่าในปี 2563 ตามแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของบริษัท 5-7 สาขาในทุกปี ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าในปี 2566-2568 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 24%-28% จากระดับเกินกว่า 30% ในปี 2564-2565
ทั้งนี้ อยู่บนสมมติฐานของทริสเรทติ้งว่าจะมีการเปิดสาขาใหม่ 5 สาขาต่อปีในประเทศไทย และ 1 สาขาใหม่ในประเทศกัมพูชาหรือฟิลิปปินส์ในทุก ๆ ปี นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนเท่ากับ 2.5-3.5 พันล้านบาทต่อปีสำหรับการซื้อที่ดิน การเช่าที่ดิน การก่อสร้าง และการปรับปรุงสาขา
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สภาพคล่องของบริษัทยังคงเพียงพอในช่วงระยะ 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีแผนการใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนตามแผนจำนวน 2.5 พันล้านบาท และการจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 41% ในขณะที่แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.2 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2566 อีกด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานหลักที่ใช้ในประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง สำหรับ การดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2566-2568 มีดังนี้
- รายจ่ายฝ่ายทุนจะเท่ากับ5-3.5 พันล้านบาทต่อปี
- รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะคงที่ในปี 2566 และเติบโตที่ระดับ 7%-8% ในปี 2567-2568
- อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับ 24%-26% และ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 12%-14%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านต่อไปได้ พร้อมทั้งยังคาดว่า บริษัทจะสามารถคงสถานะทางการเงินได้ตามเป้าหมายแม้บริษัทจะอยู่ในช่วงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากระดับ EBITDA ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นถึง 8 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทในช่วงระยะเวลาหนึ่งในขณะที่ยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่คาดการณ์ไว้จนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA สูงเกินกว่าระดับ 3.5 เท่า
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (GLOBAL)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html