WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS7 3ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม’ ที่ ‘AAA’ แนวโน้ม /Stable/

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ที่ระดับ ‘AAA’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ อันดับเครดิตของ ปตท.สผ. สะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยของบริษัท

ตลอดจนความเสี่ยงด้านการตลาดที่ต่ำเนื่องจากบริษัทมีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) รวมถึงการมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ นโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง และสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท

อันดับเครดิต ‘AAA’ ยังได้สะท้อนถึงอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ซึ่งอยู่ที่ระดับ ‘aaa’ และสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทย่อยหลักของ ปตท. ตามมุมมองของทริสเรทติ้งอีกด้วย

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผู้นำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย

ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งดำเนินธุรกิจจัดหาปิโตรเลียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้พลังงานของประเทศ

ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วทั้งสิ้น 1,442 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นอายุปริมาณสำรอง (Reserve Life) ที่ประมาณ 6.8 ปี โดยประมาณ 49% ของปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วนั้นอยู่ในประเทศไทยและส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา บริษัทมีปริมาณการขายเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ 4.68 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยที่ประมาณ 70% เป็นการจำหน่ายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ

 

ธุรกิจบูรณาการกับ ปตท. เป็นอย่างมาก

ทริสเรทติ้ง มองว่า ปตท.สผ. เป็นบริษัทย่อยหลักของ ปตท. ซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติ โดย ปตท. ถือหุ้นใน ปตท.สผ. ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมกันในสัดส่วน 65.3% ณ เดือนมีนาคม 2566 โดยทั้ง ปตท. และ ปตท.สผ. ต่างก็มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กฎหมายของราชอาณาจักรไทย

นอกจากนี้ ปตท. ยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ ปตท.สผ. โดยบริษัทมีรายได้จากการขายปิโตรเลียมให้ ปตท. ประมาณ 65%-70% ของยอดขายรวมรายปีของบริษัท  ปตท.สผ. เป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานก๊าซธรรมชาติของ ปตท.

โดยบริษัทจัดส่งก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ก่อนที่ ปตท. จะส่งไปจำหน่ายให้แก่โรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมีและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561-2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ ปตท. ประมาณ 40%-60% มาจาก ปตท.สผ.

 

สัดส่วนการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่สูงช่วยรักษาเสถียรภาพของรายได้

ผลิตภัณฑ์หลักของ ปตท.สผ. คือก๊าซธรรมชาติซึ่งคิดเป็น 70% ของยอดขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของบริษัทในช่วงปี 2561-2565 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติของบริษัทอยู่ภายใต้สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวซึ่งมีระยะเวลา 15-30 ปี  ปตท.สผ. มีสัญญาจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้แก่ ปตท. ในรูปแบบ Take-or-Pay

โดยผู้ซื้อจะรับผิดชอบซื้อปริมาณก๊าซธรรมชาติขั้นต่ำต่อปีตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือชำระเงินในจำนวนที่เทียบเท่า ราคาขายก๊าซธรรมชาติภายใต้สัญญาดังกล่าวจะมีสูตรคำนวนที่อ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันเตาหรือราคาน้ำมันดิบดูไบเป็นสำคัญซึ่งจะมีการปรับราคาช้ากว่าราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ สูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติยังได้รวมการปรับปรุงค่าความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเอาไว้ด้วย ส่วนราคาขายน้ำมันดิบนั้นมักจะจำหน่ายที่ราคาตลาดหรือตามราคาในสัญญาซื้อขายระยะสั้นเท่านั้น

ในปี 2565 ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น 39% เป็น 96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นผลจากสถาณการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในภาคพลังงาน ส่งผลให้ราคาขายปิโตรเลียมเฉลี่ยโดยรวมของบริษัทในปี 2565 เพิ่มขึ้น 23% เป็น 53.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

โดยราคาขายน้ำมันดิบนั้นเพิ่มขึ้น 42% เป็น 94.89 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2565 ในขณะที่ ราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยของบริษัทในปี 2565 อยู่ที่ 6.27 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู (British thermal unit) หรือเพิ่มขึ้นเพียง 10% เนื่องจากการปรับราคาขายก๊าซธรรมชาติในสูตรการคำนวณตามสัญญาจะเกิดขึ้นตามหลังการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันประมาณ 3-21 เดือน

 

เพิ่มกำลังการผลิตแหล่ง G1/61

การเพิ่มกำลังการผลิตของแหล่ง G1/61 ให้เป็นไปตามแผนเป็นสิ่งสำคัญ โดยปริมาณการขายปิโตรเลียมของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2566-2568 ส่วนใหญ่จะมาจากแหล่ง G1/61 ซึ่งทาง ปตท.สผ. ได้รับโอนมาตั้งแต่เดือน เมษายน 2565 ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2566 กำลังการผลิตจากแหล่งดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 210 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันสอดคล้องกับที่ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์

ทริสเรทติ้ง มีมุมมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทด้านการผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยจะช่วยให้การเร่งกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่ง G1/61 เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contracts—PSC) ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันได้ทันภายในเดือนเมษายน 2567

 

ปริมาณสำรองปิโตรเลียมแข็งแกร่งขึ้น

ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของ ปตท.สผ. ที่เพิ่มขึ้นในปี 2565 ส่วนมากมาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินกลยุทธ์ขยายฐานปริมาณสำรองปิโตรเลียมในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของบริษัท รวมทั้งช่วยรักษาสถานะการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทและบรรเทาผลกระทบจากการที่ปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ทยอยลดลงไปอีกด้วย

โครงการในต่างประเทศจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในระยะยาว โดยโครงการในประเทศมาเลเซียประกอบด้วย SK410B และ SK405B นั้นมีกำหนดจะเริ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2570 ในขณะที่ธุรกิจในทวีปแอฟริกาที่มีความล่าช้าในการก่อสร้างของโครงการ Mozambique Area 1 นั้นจะทำให้ปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ประมาณ 2.0-2.5 หมื่นบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันล่าช้าไปเป็นปี 2570 ซึ่งทริสเรทติ้ง ได้พิจารณารวมไว้ในประมาณการทางการเงินแล้ว

นอกจากนี้ ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลสิทธิแปลงสำรวจปิโตรเลียมนอกชายฝั่งแปลง G1/65 และ G3/65  ในพื้นที่อ่าวไทย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติจากภายในประเทศได้ในระยะยาว

 

ผลการดำเนินการที่ดีช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้สถานะทางการเงิน

สถานะทางการเงินของ ปตท.สผ. ยังคงแข็งแกร่งตามผลการดำเนินงานที่ดี โดยในปี 2565 บริษัทมี EBITDA สูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 7.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น 22.8% และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 12.5% จากการรับรู้ปริมาณการขายจากโครงการ Oman Block 61 ได้เต็มปี และจากการเริ่มรับรู้การขายก๊าซธรรมชาติจากโครงการ G1/61

ต้นทุนการผลิตของ ปตท.สผ. นั้นสามารถทนต่อราคาพลังงานที่สูงขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตที่เป็นเงินสดเพิ่มขึ้น 9.9% มาอยู่ที่ 15.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 2565 นอกจากนั้นแล้วบริษัทได้รับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่มจากเหตุการณ์มอนทาราซึ่งกระทบโครงสร้างต้นทุนโดยรวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ระดับหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัท ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเหลือ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทดีขึ้นเป็น 0.50 เท่าในปี 2565 นอกจากนี้ โครงสร้างทุนของบริษัทก็แข็งแกร่งขึ้นเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่อยู่ที่ 20.55% ณ สิ้นปี 2565

 

ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายจะลดลง

ทริสเรทติ้ง คาดว่า สถานะทางการเงินของ ปตท.สผ. จะยังคงแข็งแกร่งตลอดระยะเวลาประมาณการ และคาดการณ์ว่าปริมาณการขายของ ปตท.สผ. จะเพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ระดับ 4.6% โดยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.3-5.4 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2568

โดยการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากโครงการในประเทศ ซึ่งรวมถึง โครงการ G1/61 โครงการอาทิตย์ และโครงการ G2/61 ซึ่งสุทธิกับการยุติการดำเนินโครงการ Contract 3 และโครงการบงกชแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบจะทยอยปรับตัวลดลงถึงระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลภายในปี 2568 จากระดับ 96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งต่อการปรับตัวสู่ดุลภาพของตลาดปิโตรเลียมหลังภายหลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2566

ดังนั้น ทริสเรทติ้งประมาณการว่า EBITDA ของบริษัทจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 5.9-6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ในช่วงปี 2566-2568 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ประมาณ 0.5-1.0 เท่าตลอดช่วงปี 2566-2568

 

มีสภาพคล่องสูง

สถานะสภาพคล่องของ ปตท.สผ. ยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2565 ปตท.สผ. มีแหล่งสภาพคล่องจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 855 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเงินกู้ดังกล่าวจำนวน 574 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นเป็นวงเงินกู้ที่ธนาคารมีภาระผูกพันในการจัดหาให้ตามกำหนดเวลา (Committed Credit Line) 

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังประมาณการว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2566 ที่ประมาณ 4.6-5.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่มีอยู่แล้วถือว่าเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนตามแผนและเงินลงทุนส่วนที่ยังไม่มีภาระผูกพันรวมกันทั้งหมดประมาณ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ใน 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทไม่มีเงินกู้ยืมที่ครบกำหนดชำระคืนในปี 2566-2568

 

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นปี 2565 ปตท.สผ. มีภาระหนี้รวมในงบการเงินรวมที่จำนวน 2.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยจำนวน 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ สัดส่วนของหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนเมื่อเทียบกับหนี้สินรวม (Priority Debt Ratio) ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 17% ณ สิ้นปี 2565

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566 และประมาณ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปี 2567-2568
  • ต้นทุนที่เป็นเงินสดทั้งหมดของบริษัทจะทยอยลดลงจาก 15.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 มาอยู่ที่ระดับ 11-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566-2568 โดยต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงนี้เป็นผลจากการสัดส่วนการจำหน่ายปิโตรเลียมจากแหล่ง G1/61 และ G1/62 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่ต่ำกว่าระดับปัจจุบันของบริษัท
  • ในช่วงปี 2566-2568 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนรวม 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า ปตท.สผ. จะยังคงดำรงผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไปได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความได้เปรียบในด้านต้นทุนของบริษัท รวมถึงสภาพคล่องที่เพียงพอ และความสามารถในการปรับแผนค่าใช้จ่ายลงทุนจะช่วยให้บริษัทสามารถลดผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมได้

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

ปัจจัยด้านลบที่จะมีผลต่ออันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจเกิดขึ้นหากราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือหากบริษัทมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการกู้ยืมเพื่อซื้อกิจการขนาดใหญ่ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสถานะเครดิตของ ปตท. หรือความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. กับ ปตท.สผ. ที่ลดน้อยถอยลงก็อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563

 

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)

อันดับเครดิตองค์กร:

AAA

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

 

PTTEP296A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572

AAA

 หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ภายใต้โครงการออกหุ้นกู้ Medium Term-note  Programme ปี 2564 ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท:

AAA

-   PTTEP26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

AAA

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com 

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

    © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

      ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 

Click Donate Support Web  

kasat 720x100QIC 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100ais 720x100 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!