- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Saturday, 25 February 2023 18:06
- Hits: 1782
MTC โชว์ผลงานปี 65 ฝ่าโควิด-ดอกเบี้ยขาขึ้น พอร์ตสินเชื่อโต 31.37% ตามเป้า กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.00% บอร์ดเคาะจ่ายปันผล 0.95 บาท/หุ้น
บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ผู้นำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย โชว์ผลงานปี 65 ฝ่าวิกฤติโควิด-ธุรกิจแข่งเดือด-ดอกเบี้ยขาขึ้น พอร์ตสินเชื่อโต 31.37% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3.00% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น ผู้บริหาร “ปริทัศน์ เพชรอำไพ” ปักหมุดปี 66 รุกพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน วางเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20% ควบคู่ไปกับการวางแผนจัดการหนี้เสียอย่างมีประสิทธิภาพ ปลื้ม! หุ้นกู้ 5 รุ่น มูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท ขายเกลี้ยง ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่มีต่อ MTC
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) ผู้นำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 เริ่มฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก อย่างไรก็ตามในแง่ของการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อรายย่อยในตลาดยังคงมีความรุนแรงจากผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาในตลาด รวมทั้งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลกระทบต่อความสามารถการทำกำไร อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ปี 2565 มีสินเชื่อคงค้าง 120,613 ล้านบาท เติบโต 31.37% เทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้รวม 20,068 ล้าน เพิ่มขึ้น 25.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.00% เทียบปีที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลเป็นเงินสดจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม 2565) ในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 เมษายน 2566 และจ่ายปันผลวันที่ 17 พฤษภาคม 2566
“แม้ภาพรวมตลาดจะมีการแข่งขันสูง แต่ด้วยความสัมพันธ์ของ MTC ที่มีกับลูกค้าและเครือข่ายสาขาที่มีกว่า 6,668 แห่งทั่วประเทศ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการสินเชื่อของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันทีมงานติดตามหนี้ของบริษัทฯมีความสามารถในการบริหารติดตามหนี้ ทำให้ยังคงรักษาสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระบบ โดยปัจจุบันเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.91% และบริษัทฯวางเป้าหมายคุมสัดส่วนไม่เกิน 3.5% เทียบพอร์ตสินเชื่อรวม”
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโต 20% พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อส่งมอบการบริการที่ดีแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิผลโครงการคลินิกแก้หนี้ที่มีอยู่ เพื่อให้คำปรึกษาและสร้างวัฒนธรรมทางการเงินที่ดี รวมถึงจัดทำแผนการบริหารหนี้เสียและติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนขยายสาขาเพิ่ม 600 แห่งในปี 2566 รวมเป็น 7,200 สาขาทั่วประเทศ รองรับความต้องการของลูกค้าในระดับฐานรากที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
นายปริทัศน์ เพชรอำไพกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เทียบปีที่ผ่านมา บริษัทฯเตรียมออกหุ้นกู้วงเงินประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนสินเชื่อทั้งจากสถาบันการเงินในประเทศไทยและสถาบันการเงินในต่างประเทศอีกด้วย เพื่อไปสู่เป้าหมายภายในปี 2569 พอร์ตสินเชื่อแตะที่ระดับ 2 แสนล้านบาท โดยเน้นการทำตลาดกับลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการสินเชื่อมากขึ้น สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ทั้งนี้ ในส่วนของหุ้นกู้ชุดใหม่ 5 รุ่น มูลค่า 5,500 ล้านบาท ที่ MTC เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน (เฉพาะบุคคลธรรมดา) ซึ่งรวมถึงผู้ลงทุนรายใหญ่ (Public Offering) ระหว่างวันที่ 16-17 และ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน 6 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.30% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 24 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.80% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 23 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.10% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 4 ปี 22 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 5 ปี 21 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม โดยมียอดจองซื้อเข้ามาเกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย ส่งผลให้บริษัทต้องนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe Option มาใช้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อ MTC
โดยอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ระดับ Investment Grade ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566