WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS7 10ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1’ที่ ‘A-‘แนวโน้ม’Stable’

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1) ที่ระดับ ‘A-‘ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Standalone Credit Profile -- SACP) ของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับ ‘a-‘และสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) (อันดับเครดิต’A/Stable’)

ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประวัติผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่แข็งแกร่งของบริษัท ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการที่บริษัทพึ่งพาสินทรัพย์ดำเนินงานที่มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

กำไรที่แน่นอนจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ.

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทดำเนินงานภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ที่ขนาด 90 เมกะวัตต์ โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวนาน 25 ปีซึ่งอยู่ภายใต้รูปแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) ในการนี้ กฟผ. มีหน้าที่ต้องรับซื้อไฟฟ้าอย่างน้อยในสัดส่วน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาโดยขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานของโรงไฟฟ้า

ทั้งนี้ บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75%-80% ของยอดขายทั้งหมด ดังนั้น ความเสี่ยงด้านการตลาดจึงถูกลดทอนลงในขณะที่ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับการชำระเงินจากผู้ซื้อไฟฟ้าก็อยู่ในระดับที่ต่ำมาก อีกทั้งความแน่นอนของผลกำไรยังเกิดจากค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้ ผลกระทบจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนก็ยังบรรเทาลงผ่านการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้าที่อ้างอิงตามดัชนีอีกด้วย

 

มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม

บริษัทยังจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง (นิคมฯ อมตะระยอง) อีกด้วย โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ขนาด 33.8 เมกะวัตต์และไอน้ำที่จำนวน 14 ตันต่อชั่วโมง ในการนี้ ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมแต่ละรายมีหน้าที่ต้องซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำจำนวนขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยยอดขายไฟฟ้านั้นขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับของกิจกรรมทางด้านอุตสาหกรรม

 

ยอดขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น 

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมทั้งสิ้นจำนวน 146 ล้านหน่วย (กิกะวัตต์-ชั่วโมง) โดยเพิ่มขึ้น 19% จาก 123 ล้านหน่วยในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งเป็นผลมาจากการที่โรงไฟฟ้ารับรู้ยอดขายไฟฟ้าเต็มจำนวนจากลูกค้ารายใหม่รายหนึ่งที่เริ่มรับซื้อไฟฟ้าในเดือนพฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของยอดขายไฟฟ้านั้นถูกลดทอนบางส่วนจากอุปสงค์ไฟฟ้าที่ลดลงจากลูกค้ารายเดิมๆ ที่มีอยู่

 

ประวัติการดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่แข็งแกร่งสม่ำเสมอ

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าที่มีการทำงานร่วมกันของระบบกังหันก๊าซและระบบกังหันไอน้ำ (Combined-cycle) โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว ระบบดังกล่าวใช้เครื่องยนต์กังหันก๊าซ 2 ชุดที่ผลิตโดย Siemens ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่เป็นทั้งผู้ผลิต และผู้จำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในตลาดโลก

บริษัทมีทีมดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันของตนเองโดยทีมงานได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัญญาให้บริการระยะยาว (Long-term Service Agreement -- LTSA) กับ Siemens ซึ่งสัญญาดังกล่าวได้รับการขยายเวลาไปจนถึงปี 2578 โดยครอบคลุมรอบการซ่อมบำรุงใหญ่จำนวน 2 รอบถัดไปซึ่งจะช่วยให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีความพร้อมและมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูง

โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอดนับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินงาน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีดัชนีความพร้อม 99% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,559 บีทียูต่อหน่วย ซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ส่วนในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น

โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ. ซึ่งทริสเรทติ้ง พิจารณาว่า ความเสี่ยงที่โรงไฟฟ้าของบริษัทจะถูกปรับหรือยกเลิกสัญญานั้นมีค่อนข้างจำกัดมาก

 

ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเชื้อเพลิง

ในการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมนั้น บริษัทมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเชื้อเพลิงในกรณีที่ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมด้วยส่วนลดจากราคาค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่

ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะล่าช้ากว่าและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบว่า จะปรับในช่วงเวลาไหนและที่อัตราเท่าใด ดังนั้น ราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นจึงอาจส่งผลทำให้กำไรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

กำไรอ่อนตัวลงจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น

กำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นในปี 2565 ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นจนทำลายสถิติที่ระดับเกิน 550 บาทต่อล้านบีทียูในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์หลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ในขณะที่การปรับเพิ่มค่า Ft นั้นยังคงต่ำกว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยค่า Ft ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนธันวาคม 2565 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 93.43 สตางค์ต่อหน่วยเท่านั้น ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 500 ล้านบาทในปี 2565 จาก 698 ล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า

 

ความคาดหวังว่ากำไรจะฟื้นตัว

ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า กำไรของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้นจากความคาดหวังว่าค่า Ft จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกและราคาก๊าซธรรมชาติจะเริ่มกลับสู่ระดับปกติ ทั้งนี้ ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า ราคาก๊าซจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 2566 ในขณะที่ค่า Ft จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปเพื่อช่วยชดเชยเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าจำนวนมากที่ กฟผ. แบกรับ ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 ค่า Ft

สำหรับ ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 154.92 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะค่อยๆ กลับสู่ระดับปกติตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จากการคาดการณ์ว่าความไม่สมดุลระหว่างระดับอุปสงค์และอุปทานจะผ่อนคลายลง

ในขณะที่ค่า Ft ก็จะปรับตัวลดลงตามไปด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับราว ๆ 650-720 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 2-3 เท่าในช่วงเวลาประมาณการและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 50%

 

มีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งเดียว

อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีสินทรัพย์ดำเนินงานเพียงแห่งเดียว ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงทางธุรกิจที่ค่อนข้างสูงกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่รายอื่นๆ ที่มีสินทรัพย์ที่ใช้ผลิตไฟฟ้าหลายแห่ง การที่บริษัทขาดความหลากหลายในการดำเนินงานจึงอาจทำให้รายได้ของบริษัทมีความเสี่ยงจากการหยุดดำเนินงานของโรงไฟฟ้าอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น การหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเป็นเวลานาน หรือชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องจักรเกิดความเสียหาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นมีค่อนข้างยากเมื่อพิจารณาจากประวัติการดำเนินงานที่ผ่านการพิสูจน์แล้วของบริษัทและสัญญาให้บริการระยะยาวที่เป็นประโยชน์

 

ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้ทำการกู้เงินในรูปแบบของเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจำนวน 3.88 พันล้านบาทจาก บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ เอสพีวี 1 จำกัด (ABPSPV) เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการคงค้างที่มีกับธนาคาร ซึ่งกำหนดการชำระหนี้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับกำหนดการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ออกโดย ABPSPV ทั้งนี้ ภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

โดยยอดชำระมีจำนวนตั้งแต่ 15 ล้านบาทไปจนถึง 749 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2561-2575 ซึ่งบริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนเงินต้นในปี 2561 รวมถึงในปี 2562 ในปี 2568 และในปี 2574 ในการนี้ บริษัทได้จ่ายชำระคืนเงินต้นงวดแรกไปแล้วในเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทริสเรทติ้ง คาดหวังว่า บริษัทจะสามารถบริหารความต้องการด้านสภาพคล่องและสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการชำระหนี้เงินกู้ที่มีจำนวนเงินต้นสูงในบางปีได้

ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 257 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดที่มีอยู่เมื่อรวมกับประมาณการ EBITDA แล้วน่าจะเพียงพอรองรับภาระหนี้ที่บริษัทต้องจ่ายชำระที่จำนวน 86-410 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ได้

 

ภาระค้ำประกันหุ้นกู้ของ ABPSPV

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันที่ออกโดย ABPSPV โดยผู้ค้ำประกันหุ้นกู้อีก 2 ราย คือ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 จำกัด (ABP3) และ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 2 จำกัด (ABPR2) ซึ่งภายใต้เงื่อนไขการค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันทั้ง 3 รายจะให้การค้ำประกันแบบร่วมกันและแทนกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้สำหรับหุ้นกู้ทั้งจำนวนซึ่งรวมถึงเงินต้นในวงเงินรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 1.15 หมื่นล้านบาทบวกหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

เป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ภายใต้ BGRIM Group

โรงไฟฟ้าของบริษัทเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวนทั้งสิ้น 19 แห่งภายใต้ BGRIM Group ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2565 กำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทคิดเป็น 5% ของกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดของ BGRIM

ส่วนในด้านของกระแสเงินสดนั้น EBITDA ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของ EBITDA ทั้งหมดของ BGRIM Group แม้จะมีส่วนแบ่งรายได้เพียงเล็กน้อย แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยเชิงกลยุทธ์ของ BGRIM ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเป็นสินทรัพย์หลักในการผลิตไฟฟ้าของ BGRIM ซึ่งคิดเป็น 74% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม

BGRIM มีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในนิคมฯ อมตะระยองจำนวนทั้งสิ้น 5 แห่งซึ่งรวมโรงไฟฟ้า ABPR1 ของบริษัทด้วย ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความสำคัญต่อ BGRIM ในด้านการบริหารจัดการประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวมของโรงไฟฟ้าของกลุ่มในนิคมฯ อมตะระยอง ดังนั้น ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า บริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก BGRIM ในฐานะบริษัทแม่เมื่อบริษัทต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมุติฐานที่สำคัญที่ทริสเรทติ้งใช้ในประมาณการกรณีพื้นฐานสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้

  • โรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีดัชนีค่าความพร้อมอยู่ในช่วง 92%-99%
  • สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 8 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 14 ตัน/ชั่วโมง
  • บริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ประมาณ 803-852 ล้านหน่วยต่อปี และจะจำหน่ายไอน้ำได้ประมาณ 48,000-60,000 ตันต่อปี
  • ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ปีละ 7-19 ล้านบาท
  • การชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจะสอดคล้องกับกำหนดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ออกโดย ABPSPV

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ’คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่ากำไรของบริษัทจะฟื้นตัวและบริษัทจะสามารถดำรงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไปได้ในระยะยาว โดยที่บริษัทจะสามารถสร้างผลกำไรและรักษาระดับหนี้สินให้เป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้งได้

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัด ในทางกลับกัน ปัจจัยกดดันที่อาจทำให้มีการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง หรือความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนด้อยลง

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ” ของทริสเรทติ้งแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับสถานะเครดิตของ BGRIM หรือความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทและ BGRIM ก็อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

 

บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1)

อันดับเครดิตองค์กร:

A-

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com 

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

        © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

       ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 

Click Donate Support Web   

BANPU 720x100TU720x100EXIM One 720x90 C Jsme 720x100

ธกส 720x100

ใจฟู720x100pxPF 720x100

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!