- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 25 December 2022 07:29
- Hits: 1737
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.เอสโซ่ (ประเทศไทย)’ เป็น ‘A+’ จาก ‘A’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A+” จากเดิมที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยการเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวและค่าการกลั่นที่แข็งแกร่ง
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงการที่บริษัทมีความเชื่อมโยงทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับ Exxon Mobil Corporation (ExxonMobil) และบริษัทในเครือ (หรือ ExxonMobil Group) และแบรนด์ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนที่สูงซึ่งเป็นธรรมชาติของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทมาจากการปรับเพิ่มขึ้นสามระดับจากอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ของบริษัท โดยทริสเรทติ้งทำการปรับเพิ่มอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเป็น "bbb+" จาก “bbb” ในการนี้ ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าบริษัทมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อ Exxon Mobil Corporation (ได้รับอันดับเครดิต "AA-/Stable" จาก S&P Global Ratings) โดยการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงความคาดหวังของ ทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจาก ExxonMobil Group ในฐานะที่เป็นบริษัทแม่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้แรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัวของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 มาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังตามราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นเป็นสำคัญ แต่กำไรที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษซึ่งได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันอากาศยานและอุปสงค์น้ำมันเพิ่มเติมจากภาคการผลิตไฟฟ้าที่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพง ในขณะเดียวกันอุปทานจากโรงกลั่นก็ปรับตัวไม่ทันกับอุปสงค์เนื่องจากมีการปิดโรงกลั่นอย่างถาวรในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ตลอดจนความล่าช้าของกำลังการผลิตจากโรงกลั่นใหม่ ๆ รวมถึงอุปทานที่ถูกรบกวนเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบกว้างยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน บริษัทนั้นมีความแตกต่างจากคู่แข่งทั้งหลายเนื่องจากบริษัทไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงของราคาน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จึงทำให้บริษัทสามารถรับประโยชน์อย่างเต็มที่จากส่วนต่างราคาที่กว้างขึ้นในปี 2565
ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเป็น 9.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 2.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงเดียวกันของปี 2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า ค่าการกลั่นพื้นฐานจะอ่อนตัวลงในปี 2566 แต่จะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวและหลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่ระดับปกติในภายหลัง
อัตราการกลั่นน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
โรงกลั่นของบริษัทมีความยืดหยุ่น สามารถกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายชนิดและผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทได้ปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปโดยเพิ่มการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา (Middle Distillate) หรือน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานให้เป็น 49% จาก 45% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่น้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นเป็น 28% จาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทั้งหมดเป็นความพยายามของบริษัทในการเพิ่มผลกำไร
อัตราการกลั่นน้ำมันดิบ (Refinery Crude Run) ของโรงกลั่นของบริษัทอยู่ที่ระดับ 131 พันบาร์เรลต่อวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 7.4% จากระดับ 122 พันบาร์เรลต่อวันในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 อัตราการกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทอยู่ที่ระดับ 134 พันบาร์เรลต่อวันและอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 77% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราการกลั่นจะยังคงแข็งแกร่งในอีกหลายปีข้างหน้า
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 โดยทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทในปี 2565 ทั้งปีจะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาท
แบรนด์ที่แข็งแกร่งช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายค้าปลีก
บริษัทอยู่ในสถานะที่ดีในการทำการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงระดับพรีเมียมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องผ่านสถานีบริการ ส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการขายปลีกน้ำมันของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณ 12% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดของยอดขายปลีกเอาไว้ได้อย่างน้อยที่สุดในระดับเดิม ทั้งนี้ สถานีบริการของบริษัทสามารถสร้างยอดขายต่อสถานีได้ในระดับสูงโดยสูงสุดเป็นอันดับสองและใกล้เคียงกับผู้นำตลาดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 โดยยอดขายต่อสถานีของแบรนด์ชั้นนำสามอันดับแรกซึ่งรวมถึง “Esso” นั้นสูงกว่าแบรนด์ใหญ่และแบรนด์เล็กอื่นๆ เป็นอย่างมาก
ด้วยการรับรู้ถึงแบรนด์ที่แข็งแกร่ง บริษัทสามารถขยายเครือข่ายการค้าปลีกผ่านการเพิ่มสถานีของตัวแทนจำหน่ายได้ในขณะที่จำนวนสถานีที่บริษัทลงทุนเองไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของสถานีบริการที่เป็นของผู้แทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 62% ในปี 2564 จาก 44% ในปี 2560 ทั้งนี้ บริษัทมีจำนวนสถานีบริการเพิ่มขึ้น 7% ต่อปีในช่วงปี 2560-2564 โดยอยู่ที่ 780 แห่งในเดือนกันยายน 2565
ในขณะเดียวกัน ร้านค้าในสถานีบริการซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมันก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากผ่านความร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนจำนวนมากในการขยายธุรกิจในขณะที่เครือข่ายค้าปลีกที่แข็งแกร่งนั้นคาดว่าจะช่วยรักษายอดขายของโรงกลั่นและช่วยลดผลกระทบจากค่าการกลั่นที่ผันผวนได้
ทริสเรทติ้ง เห็นว่า ความเข้มแข็งของธุรกิจค้าปลีกของบริษัทยังมีความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งนี้ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทยได้เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การแข่งขันมีความรุนแรงยิ่งขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความภักดีของลูกค้า ผู้ค้าปลีกน้ำมันได้หันมาให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ไม่ใช่น้ำมัน
ร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟกลายมาเป็นมาตรฐานปกติของสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ส่วนสถานีบริการขนาดใหญ่ก็มักจะมีร้านอาหาร ร้านซักรีด และบริการดูแลรถยนต์ฯลฯ เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้น ด้วยค่าการตลาดที่ตึงตัวจึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ค้าปลีกในการที่จะควบคุมต้นทุนการดำเนินงานในขณะที่ต้องรักษามาตรฐานการบริการและความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ให้ได้
ไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ ในขณะที่หนี้สินเกิดจากการจัดหาเงินทุนหมุนเวียนเป็นหลัก
การลงทุนของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานเชื้อเพลิง EURO V ที่จะเริ่มในปี 2567 คาดว่าจะไม่สูงมากและได้ทยอยลงทุนไปบ้างแล้ว ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
หนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4.16 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 จาก 3.43 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาปิโตรเลียมที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องกับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับสูงซึ่งจะได้รับการชำระคืนในที่สุดแม้ว่ากำหนดเวลาจะยังไม่แน่นอนก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนโดยรวมของบริษัทจะลดลงตามราคาปิโตรเลียมที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
คาดว่ากำไรจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
จากการคาดการณ์ว่าความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะลดลง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบ (Crude Oil) จะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566 และที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับประมาณ 96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565
โดยประมาณการของทริสเรทติ้งยังคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะลดลงจากระดับที่สูงเป็นพิเศษในปี 2565 มาอยู่ที่ 4.5-6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปี 2566-2567 ด้วยเหตุนี้ ทริสเรทติ้งจึงคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะลดลงสู่ช่วง 5-9 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA มีแนวโน้มที่จะอยู่ที่ระดับ 4-5 เท่าในช่วงปีประมาณการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณ 2 เท่าในปี 2565 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 52%-57%
อ่อนไหวต่อค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง
แม้ว่า บริษัทจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าธุรกิจของบริษัทยังคงค่อนข้างอ่อนไหวต่อความผันผวนที่สูงมากของราคาน้ำมันในตลาดโลกและค่าการกลั่นเมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนในปัจจุบันหลาย ๆ ประการของตลาดน้ำมันโลก อาทิ โรคระบาดที่ยืดเยื้อ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความเป็นไปได้ที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ จะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลง เป็นต้น ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงมีความเสี่ยงจากค่าการกลั่นที่แคบลงรวมถึงจากการขาดทุนจากมูลค่าที่ลดลงของสินค้าคงคลังในกรณีที่ตลาดเกิดมีความผันผวน
ความเชื่อมโยงกับ ExxonMobil Group ยังคงแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง ยังคงมองว่า บริษัทนั้นเป็นตัวแทนผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของ ExxonMobil Group ในประเทศไทย บริษัทดำเนินธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของ ExxonMobil และได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่ม บริษัทสามารถเข้าถึงความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดหาน้ำมันดิบและวัตถุดิบจาก ExxonMobil Group
รวมทั้งเข้าถึงเครือข่ายการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ทั่วโลก เข้าถึงบริการด้านเทคโนโลยีตลอดจนการดำเนินงานและวิศวกรรมขั้นสูง และเข้าถึงโครงการวิจัยและพัฒนาต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการใช้แบรนด์ ‘เอสโซ่’ (Esso) และเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตจาก ExxonMobil Group อีกด้วย
ได้รับการสนับสนุนสภาพคล่องจำนวนมากจากกลุ่ม
เมื่อพิจารณาจากความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดกับ ExxonMobil Group แล้ว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากกลุ่มต่อไป ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2565 หนี้สินรวมของบริษัทในสัดส่วน 51% เป็นเงินกู้ยืมจาก ExxonMobil Group ในขณะที่บริษัทได้รับวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากกลุ่มที่จำนวน 6.6 หมื่นล้านบาทซึ่งบริษัทมีการเบิกใช้ไปเพียง 18% เท่านั้น
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สินเชื่อระหว่างบริษัทภายในกลุ่มเมื่อรวมกับเงินสดในมือที่บริษัทมีอยู่และวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้นั้นเพียงพอที่จะรองรับภาระหนี้ของบริษัทรวมจำนวนทั้งสิ้น 3.2 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้
โครงสร้างเงินทุน
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 3.64 หมื่นล้านบาท (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) โดยไม่มีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน โดยหนี้สินดังกล่าวเป็นเงินกู้ยืมที่บริษัทได้รับจากสถาบันการเงินและกิจการที่เกี่ยวข้องกันหลายแห่งซึ่งทั้งหมดเป็นเงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 96 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และจะลดลงเหลือ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566 และ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567
- อัตราการกลั่นน้ำมันดิบของโรงกลั่นจะอยู่ที่ประมาณ 133 พันบาร์เรลต่อวันในระหว่างปี 2565-2566 และที่ 138 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2567
- ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 9 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ในปี 2565 และจะอยู่ในช่วง 4.5-6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในระหว่างปี 2566-2567
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ อยู่ภายใต้ความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสร้างผลกำไรที่น่าพอใจแม้ว่าค่าการกลั่นจะมีแนวโน้มลดลงจากระดับสูงเป็นพิเศษในปี 2565 ก็ตาม ทริสเรทติ้ง ยังคาดหวังด้วยว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทและ ExxonMobil Group จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นและอยู่เหนือระดับ 6 เท่าอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทและ ExxonMobil Group ที่จะทำให้การสนับสนุนที่บริษัทจะได้รับจาก ExxonMobil Group ลดน้อยถอยลงก็อาจส่งผลในเชิงลบต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท ซึ่งจะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทในท้ายที่สุด
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html