- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 11 December 2022 20:10
- Hits: 1681
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป’ ที่ ‘BBB-‘เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น’Negative’ จาก ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ‘Negative’ หรือ “ลบ” จาก’Stable’ หรือ’คงที่’เพื่อสะท้อนความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้ายิ่งขึ้นในการเปิดดำเนินงานและอัตราค่าไฟฟ้าที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ในขณะที่อันดับเครดิตสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานลมเริ่มดำเนินงาน ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากการที่บริษัทมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามที่มีนัยสำคัญ ตลอดจนความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และอนาคตที่ไม่สดใสของธุรกิจสิ่งพิมพ์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาดต้องเผชิญกับความล่าช้าอย่างมาก
กระแสเงินสดที่อ่อนแอของบริษัทเป็นผลมาจากความล่าช้าในการเริ่มเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามที่ยืดเยื้อออกไปมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 4 แห่งของบริษัทในประเทศเวียดนามยังคงรอการเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์อยู่
โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิของโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ที่ 129 เมกะวัตต์ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในโรงไฟฟ้าเหล่านี้ โดยก่อนหน้านี้ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการทั้งหมดนี้จะเริ่มเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ภายในครึ่งแรกของปี 2565
ดังนั้น รายได้ของบริษัทจึงต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จำนวน 600 ล้านบาทซึ่งต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ทั้งปีที่ระดับ 1.7 พันล้านบาท
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) อย่างหนัก โดยโครงการต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดด้านห่วงโซ่อุปทานของชิ้นส่วนเครื่องจักรกลที่สำคัญๆ
ตลอดจนความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายแรงงาน และปัญหาอื่น ๆ ในช่วงที่มีการระบาดหนักซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จได้ทันก่อนที่อัตราค่าไฟฟ้า Feed-in Tariff (FiT) จะหมดอายุลงในเดือนพฤศจิกายน 2564
ณ เดือนตุลาคม 2565 การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนใหญ่ของบริษัทแล้วเสร็จสมบูรณ์และพร้อมเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้า โดยที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดกว่างจิ (Quang Tri -- ขนาด 79 เมกะวัตต์) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 2 โครงการในจังหวัดซาลาย (Gia Lai -- ขนาด 50 เมกะวัตต์) ก็แล้วเสร็จไปมากกว่า 90% ซึ่งอุปกรณ์หลักๆ ได้รับการติดตั้งและทดสอบเรียบร้อยแล้ว
การดำเนินการในเชิงพาณิชย์ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้ายังไม่ได้ข้อสรุป
โครงการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดนั้นยังคงไม่สามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เนื่องจากต้องรอผลอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ล่าสุดรัฐบาลเวียดนามกำลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Ministry of Industry and Trade -- MOIT) ของประเทศเวียดนามเพิ่งออกหนังสือเวียนซึ่งกำหนดสูตรให้การไฟฟ้าเวียดนาม หรือ Vietnam Electricity (EVN) ใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับโครงการที่รอเปิดดำเนินการ
โดย EVN มีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่ผู้พัฒนาโครงการรายต่างๆ ส่งมา หลังจากนั้น EVN จะจัดทำข้อเสนออัตราค่าไฟฟ้าซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก MOIT ในท้ายที่สุด
ทริสเรทติ้งมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นสัญญาณในเชิงบวกสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าในที่สุดแล้วโครงการจะเริ่มเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้เมื่อใดและบริษัทจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN ในอัตราใด ทั้งนี้ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าไฟฟ้าอัตราใหม่จะสรุปได้ในเดือนมีนาคม 2566
ในขณะที่โครงการของบริษัทจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ต่ำลง ซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะสูงขึ้นหากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าของรัฐบาลเวียดนามนั้นยังคงยืดเยื้อออกไป
คาดว่าบริษัทจะมีรายได้สูงขึ้นในอนาคต
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบริษัทอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครั้งใหญ่ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่การสร้างกระแสเงินสดและโครงสร้างเงินทุน โดยบริษัทได้ขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายแห่งออกไปในระหว่างปี 2562-2563 ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น และไทย และบริษัทยังขายเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอีก 2 แห่งออกไปในปี 2564 อีกด้วย
โดยบริษัทได้นำเงินที่ได้จากการขายโครงการโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไปใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก จากความล่าช้าในการเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังลมอย่างต่อเนื่อง รายได้ของบริษัทจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันจึงมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคากลุ่มเล็กๆ และงานรับก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 80-100 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น รายได้ในอนาคตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก
ทริสเรทติ้ง คาดว่า โรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทจะสร้างรายได้จำนวนมากเมื่อเปิดดำเนินการแล้ว ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการทั้งหมดจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดยอัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 7.38 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงซึ่งต่างจากระดับเดิมที่ 8.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และการผลิตไฟฟ้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ P90 (สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 90%) จากสมมติฐานดังกล่าว
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 1.6 พันล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึงระดับ 2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 เมื่อโครงการทั้งหมดดำเนินการเต็มปี ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 800 ล้านบาทในปี 2566 และที่ระดับประมาณ 1.1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568
ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ของบริษัทจะลดลงอย่างมากจนเหลือประมาณ 5 เท่าภายในปี 2566 จาก 12 เท่าในปี 2565 โดยอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในระหว่างปี 2567-2568 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 700-800 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568
โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10% ในปี 2566 และสูงกว่า 20% ในปี 2567 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า บริษัทจะยังคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนไว้ที่ระดับประมาณ 30%-40% ในช่วงเวลาประมาณการด้วย
ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโครงการ
ทริสเรทติ้ง เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทมาเป็น ‘Negative’หรือ’ลบ’เนื่องจากรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมยังคงมีความอ่อนไหวจากความไม่แน่นอน แม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามจะได้เริ่มออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องอัตราค่าไฟฟ้า แต่ในกรณีที่เกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือในการเริ่มเปิดดำเนินการก็จะส่งผลร้ายแรงต่อการฟื้นตัวของรายได้ของบริษัท
นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากโครงการดังกล่าวยังอาจลดลงหากอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับต่ำกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมก็มักมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่สูงกว่า เช่น ความเสียหายของเครื่องจักรกลและระบบไฟฟ้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับความเพียงพอและความเร็วของลมเป็นสำคัญ ดังนั้น ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทจึงยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้ามีความท้าทายมากยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้ง มองเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยโดยคาดว่าจะมีการเปิดโควต้ารอบใหม่ในการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าการแข่งขันในตลาดการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเอกชนตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กไปจนถึงกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ต่างก็ขยายกิจการเข้าสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามากขึ้น โดยบริษัทผลิตไฟฟ้าไทยมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนไปนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสเติบโตที่มากขึ้น แต่การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศบางส่วนก็มีความเสี่ยงสูง เช่น ความโปร่งใสและความสม่ำเสมอของกฎระเบียบ สถานะเครดิตของผู้รับซื้อไฟฟ้า และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง มองเห็นการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคาจำหน่ายไฟฟ้ากลับมีแนวโน้มที่ลดต่ำลงในประเทศต่างๆ ที่มีการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในการผลิตไฟฟ้า
ลงทุนในประเทศเวียดนามในระดับสูง
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 95% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัท ประเทศเวียดนามดูเหมือนจะเสนอโอกาสมากมายสำหรับการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ไม่ว่าจะเป็นแนวชายฝั่งทะเลที่ทอดยาว
กระแสลมที่มีความเร็วและแรง รวมทั้งชั่วโมงรับแสงแดดที่ยาวนาน ดังนั้น ด้วยอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะขยายธุรกิจไปในประเทศเวียดนามเพิ่มมากขึ้นหรืออาจจะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ พร้อมทั้งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ EVN
ในทางตรงกันข้าม การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ อันเป็นผลมาจากแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (National Power Development Plan) และนโยบายเกี่ยวกับกรอบราคาใหม่สำหรับพลังงานหมุนเวียนของเวียดนามที่ยังต้องรอความชัดเจน
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังมองว่า สถานะเครดิตของ EVN ซึ่งเป็นหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐของประเทศเวียดนามนั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้ซื้อไฟฟ้าที่เป็นรัฐวิสาหกิจของไทย ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามยังมีความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดเนื่องจากสายส่งไฟฟ้ามีไม่เพียงพออีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดการจำหน่ายไฟฟ้าจะลดลงเนื่องจากรัฐบาลเวียดนามพยายามปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสิ่งพิมพ์
สำหรับ ธุรกิจสิ่งพิมพ์นั้น สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทมาจากการที่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงประวัติผลงานที่ยาวนาน และการมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า แม้ว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์และสิ่งพิมพ์จะถูกกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
แต่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัท ก็ยังคงทำกำไรได้อยู่ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ก็ลดลงเหลือ 10% จาก 14% เมื่อปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทาน
ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์สร้างรายได้ในสัดส่วนที่น้อย
ธุรกิจสิ่งพิมพ์เคยเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทในอดีต อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการเติบโตของสื่อดิจิทัลซึ่งส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านบริการการพิมพ์ลดน้อยถอยลง มูลค่าของโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสาเหตุของการหดตัวของรายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัท ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าแนวโน้มของธุรกิจสิ่งพิมพ์ยังคงไม่สดใส
ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมาบริษัทได้ขยายกิจการไปสู่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษเพื่อค้นหาปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตสำหรับธุรกิจสิ่งพิมพ์ท่ามกลางการมีอุปสงค์จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการจัดส่งอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์กระดาษของบริษัทมีความหลากหลายตั้งแต่ถุงกระดาษ กล่องพิซซ่า กล่องเหน็บข้าง ไปจนถึงลังกระดาษ ฯลฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์อยู่ที่จำนวน 208 ล้านบาท
โดยเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า บรรจุภัณฑ์กระดาษเป็นที่ต้องการมากขึ้นจากอุปสงค์ด้านบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มสูงขึ้นโดยได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศหลังจากโรคระบาดโควิด 19 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วนที่น้อยมาก
สภาพคล่องตึงตัว
ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 750 ล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 490 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทมีหนี้ระยะสั้นและระยะยาวที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนทั้งสิ้น 2 พันล้านบาท
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะมีการกู้ยืมใหม่เพื่อนำไปชำระคืนหนี้เดิม (รีไฟแนนซ์) เป็นส่วนใหญ่ โดยทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทสามารถระดมทุนโดยการขอสินเชื่อโครงการสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลมหรือการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ ทั้งนี้ จากการที่โรงไฟฟ้ามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งจึงมองว่าความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์นั้นน่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้
โครงสร้างหนี้
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่จำนวน 4.5 พันล้านบาท โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่คงเหลือจำนวน 3.9 พันล้านบาท อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 16% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมได้รับเงินกู้โครงการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 700-800 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2568 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับประมาณ 10%-13%
- อัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10%-11%
- โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามจะใช้ประมาณการ P90 (สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 90%)
- รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2565 ประมาณ 800 ล้านบาทในปี 2566 และประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568
- อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) จะอยู่ที่ระดับ 22% ในปี 2565 และจะเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 50% ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
- ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมจะอยู่ที่จำนวน 3 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2568
- บริษัทจะได้รับเงินกู้โครงการจำนวน 4 พันล้านบาทในปี 2566 สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานงานลมทุกโครงการในประเทศเวียดนาม
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Negative’ หรือ ‘ลบ’ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัท ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นหากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทต้องเลื่อนออกไปอีกนาน หรือการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทนั้นต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้ง อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตกลับไปเป็น ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์และมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ จากแนวโน้มอันดับเครดิตที่เป็น ‘Negative’หรือ’ลบ’ นั้น ทำให้การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากบริษัทยังคงมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทเผชิญกับความล่าช้ายิ่งขึ้นในการเปิดดำเนินการหรือสร้างกระแสเงินสดที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้เนื่องจากการลดอัตราค่าไฟฟ้าลงอย่างมีนัยสำคัญหรือโครงการมีประสิทธิภาพที่ต่ำ
นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากการลงทุนใหม่ที่ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหรือมีความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้นอีกด้วย
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Negative |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html