- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Saturday, 03 December 2022 23:10
- Hits: 1579
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ทีทีซีแอล’ ที่ ‘BB+’ และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น ‘Positive’ จาก ‘Stable’
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BB+’ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น ‘Positive’หรือ ‘บวก’ จาก ‘Stable’ หรือ’คงที่’ ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนถึงภาระหนี้ที่ลดลงและการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัทโดยได้รับแรงหนุนจากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ในขณะที่อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement, and Construction -- EPC)
สำหรับ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการแข่งขันที่รุนแรงและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงซึ่งอาจส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรของบริษัทในระยะสั้นถึงปานกลางได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากการมีมูลค่างานในมือจำนวนมาก
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้นั้นได้รับแรงหนุนจากการที่บริษัทกลับมาลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและปิโตรเคมี
อีกทั้ง สัญญางานก่อสร้าง EPC ใหม่ที่ลงนามในปี 2564 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ก็อยู่ที่จำนวน 1.26 หมื่นล้านบาทและ 1.62 หมื่นล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 5.7 พันล้านบาทในปี 2563 โดยมูลค่างานในมือของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่จำนวน 2.36 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2559 ทั้งนี้ งานในมือของบริษัทนั้นประกอบด้วยโครงการภายในประเทศ 80% และโครงการในต่างประเทศอีก 20%
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ต่อปีของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.4 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2565-2567 โดยมีสมมติฐานว่าบริษัทจะได้ลงนามในสัญญางานก่อสร้างใหม่มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
ถึงแม้จะคาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงจะเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทก็ควรจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับประมาณ 7%-8% เอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่คาดการณ์ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8.5% ในปี 2565 และ 6.0%-6.5% ในช่วงปี 2566-2567 โดย EBITDA Margin ที่สูงขึ้นในปี 2565 นั้นสะท้อนถึงการกลับรายการของการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของโครงการเหมืองเกลือในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มูลค่า 571 ล้านบาทซึ่งช่วยชดเชยการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของโครงการอื่นๆ จำนวน 276 ล้านบาท
มีผลงานเป็นที่ยอมรับในภาคอุตสาหกรรม
บริษัทเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างโครงการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานแปรรูป โดยมีผลงานเป็นที่ยอมรับในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายซึ่งประกอบด้วยบริษัทในธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเคมีภัณฑ์ และธุรกิจโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการขยับขยายสู่การรับงานโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีเป้าหมายที่จะสร้างผลงานในตลาดต่างประเทศหลาย ๆ แห่งอีกด้วย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อพิจารณาในแง่ของฐานรายได้และขนาดของสินทรัพย์ โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 0.7-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังได้มุ่งเน้นงานบริการด้านการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนของโครงการต่างๆ
ซึ่งเป็นงานที่มีอัตรากำไรที่สูงให้มากขึ้นจากเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นเฉพาะงานออกแบบ แม้ว่ามูลค่าของงานเหล่านี้จะค่อนข้างน้อย แต่หลังจากได้งานศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนั้น ๆ แล้วก็มีแนวโน้มที่บริษัทจะได้งานรับเหมาก่อสร้างของโครงการดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าโครงการที่สูงยิ่งขึ้นต่อไป
กระแสเงินสดที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
การลงทุนของบริษัทในธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยบรรเทาความอ่อนไหวต่อความผันผวนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทที่มีลักษณะเป็นวงจรขึ้นลงได้ในระดับหนึ่ง บริษัทถือหุ้นสัดส่วน 43% ใน Toyo Thai Power Myanmar Co., Ltd. (TTPMC) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 120 เมกะวัตต์ในประเทศเมียนมา (โครงการ Ahlone)
ทั้งนี้ ในการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทนั้น ทริสเรทติ้งจึงได้รวมภาระหนี้และกระแสเงินสดของ TTPMC ตามสัดส่วนภาระการค้ำประกันหนี้ในโครงการของบริษัทมาประกอบการพิจารณาด้วย โดยโครงการ Ahlone คาดว่าจะสามารถสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ผลการดำเนินงานของ TTPMC ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและข้อจำกัดด้านเงินตราต่างประเทศที่รัฐบาลเมียนมากำหนดในช่วงที่ผ่านมา แม้การชำระค่าไฟฟ้าจะอยู่ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หน่วยงานด้านไฟฟ้าของประเทศเมียนมา (Electric Power Generation Enterprise -- EPGE) ก็ยังคงจ่ายเงินตามกำหนดเวลา
โดยการชำระค่าไฟฟ้านี้เป็นการชำระหนี้ให้แก่ TTPMC ที่มีภาระกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของ TTPMC นอกจากนี้ TTPMC ยังมีกรมธรรม์ประกันการลงทุนกับธนาคาร EXIM ซึ่งจะช่วยคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศเมียนมาอีกด้วย
บริษัทมีแผนจะลงทุนก่อสร้างส่วนขยายของโครงการ Ahlone ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีกจำนวน 388 เมกะวัตต์ โครงการดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนอีกราว 2 หมื่นล้านบาทซึ่งสูงเกินกว่าที่บริษัทจะสามารถลงทุนเองได้ ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2564
แต่ทริสเรทติ้ง ก็มองว่า โครงการนี้จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้เนื่องจากเจ้าหนี้และ/หรือนักลงทุนที่มีศักยภาพยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศเมียนมา ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงไม่ได้นำโครงการนี้เข้ามาประกอบการพิจารณาในประมาณการในครั้งนี้
ภาระหนี้ปรับตัวดีขึ้น
ภาระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจากการขายเงินลงทุนต่างๆ ที่อยู่ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 2561-2564 ภาระหนี้ของบริษัทซึ่งรวมหนี้ตามสัดส่วนของ TTPMC ที่ค้ำประกัน โดยบริษัทอยู่ที่จำนวน 1.9 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.01 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 34.8% ซึ่งลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับ 53.3% ในปี 2564 และที่ระดับเกินกว่า 70% ในช่วงปี 2560-2561
ในอนาคตภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นสำหรับรองรับงานก่อสร้างใหม่ที่มีการลงนามในสัญญาในระหว่างปี 2564-2565 บริษัทได้ตั้งงบรายจ่ายฝ่ายทุนประจำปีไว้ที่ประมาณ 200-260 ล้านบาท ในการนี้ ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ใด ๆ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้จะมีการคาดการณ์ว่าระดับภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับประมาณ 10% ได้ ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 2.8-4.8 เท่า
เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาของหุ้นกู้ บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไม่ให้เกินกว่า 3 เท่า โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 1.01 เท่า ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินเอาไว้ได้ในช่วงประมาณการ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ระดับ 13%
สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทมีสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการได้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 2.2 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 และทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 550-580 ล้านบาท
ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.7 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 1.6 พันล้านบาทและหนี้สัญญาเช่าทางการเงินอีกจำนวน 0.1 พันล้านบาท แม้ว่าเงินสดที่มีของบริษัทจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงืนกู้และใช้เป็นเงินทุนสำหรับแผนรายจ่ายฝ่ายทุนที่ตั้งไว้
แต่โดยปกติแล้วบริษัทจะต่ออายุเงินกู้ยืมระยะสั้นออกไปเพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องเอาไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ ในขณะที่ภาระหนี้ตามสัดส่วนของ TTPMC ที่ค้ำประกันโดยบริษัทจะได้รับการชำระคืนจากค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ EPGE
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- บริษัทจะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างใหม่มูลค่า 62 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และอีก 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567
- อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะอยู่ที่ระดับ 7%-8%
- EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 6%-8%
- ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนจะอยู่ที่ระดับ 200-260 ล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ภาระหนี้สินของบริษัทจะไม่คลาดเคลื่อนไปจากประมาณการของทริสเรทติ้งอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ จากมูลค่างานในมือจำนวนมาก บริษัทน่าจะสามารถรักษาระดับรายได้ต่อปีให้สูงกว่า 1 หมื่นล้านบาทได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าและน่าจะรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้สูงกว่าระดับ 10% ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถได้งานใหม่มูลค่าสูงและมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจนทำให้ EBITDA Margin อยู่ที่ระดับเกินกว่า 6% และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับประมาณ 10%-15% ได้อย่างต่อเนื่อง
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอาจปรับลดลงหากบริษัทไม่ได้งานใหม่มากพอที่จะรักษาระดับกระแสเงินสดเอาไว้ได้ หรือผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังอาจปรับลดลงหากบริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญจำนวนมาก และ/หรือมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อใช้ในการลงทุนใหม่ ๆ อีกด้วย
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) (TTCL)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Positive |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html