- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 14 November 2022 09:55
- Hits: 1249
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร’บ.ลานนารีซอร์สเซส’ ที่ ‘A-‘แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำ ตลอดจนสถานะทางการเงินที่มีหนี้สินในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย และแนวโน้มของความต้องการถ่านหินทั่วโลกที่จะลดลงในระยะยาวจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ประวัติการทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียที่ยาวนาน และต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำ
บริษัทเป็นผู้ผลิตถ่านหินขนาดกลางในประเทศไทย โดยมีเหมืองถ่านหิน 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย 2 แห่งของบริษัท ได้แก่ PT Lanna Harita Indonesia (LHI) และ PT Singlurus Pratama (SGP) ทั้งนี้ ธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียของบริษัทสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70%-80% ของ EBITDA รวม นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจผลิตเอทานอลซึ่งสร้าง EBITDA ในสัดส่วนที่เหลืออีกด้วย
สถานะด้านเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากประสบการณ์ในธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ยาวนานกว่า 30 ปีและการดำเนินงานที่มั่นคงในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2541 โดยผ่านการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทยังมาจากต้นทุนในการทำเหมืองที่ต่ำซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากลักษณะการทำเหมืองแบบเปิด (Open-pit Mining) รวมถึงระยะทางระหว่างเหมืองกับท่าเรือที่ไม่ไกลกัน และการบริหารจัดการด้านขนส่งที่มีประสิทธิภาพของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่เป็นเงินสดอยู่ที่ 19-22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้นทุนที่ต่ำนั้นถือเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้บริษัทสามารถผ่านช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำอย่างรุนแรงไปได้
ปริมาณถ่านหินสำรองที่ยังมีอายุประมาณ 7-10 ปี
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ปริมาณสำรองถ่านหินของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 71.1 ล้านตันซึ่งบ่งบอกว่าบริษัทยังสามารถผลิตถ่านหินได้อีกประมาณ 9 ปี เมื่อเทียบกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 7.5-8.0 ล้านตันต่อปี ด้วยราคาถ่านหินที่สูงในปัจจุบัน บริษัทได้วางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 9.0-9.5 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2566-2568 โดยปริมาณการผลิตของ SGP ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 5.5-6.5 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ ปริมาณการผลิตของ LHI จะอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านตันต่อปี
ปริมาณสำรองถ่านหินที่มีอยู่ส่วนใหญ่นั้นมีค่าความร้อนต่ำ ซึ่งราคาขายจะมีส่วนลดค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีมาตรฐานที่ใช้แพร่หลายทั่วโลก เช่น ดัชนีราคาถ่านหินของนิวคาสเซิล โดยค่าความร้อนของบริษัทนั้นอยู่ในช่วง 3,200-5,000 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม
ความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการทำเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย
บริษัทมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเรื่อง Domestic Market Obligation (DMO) ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวกำหนดให้บริษัทจะต้องจำหน่ายถ่านหินในสัดส่วนประมาณ 25% ของปริมาณการผลิตถ่านหินในแต่ละปีให้กับตลาดในประเทศอินโดนีเซีย โดย ณ ปัจจุบัน อัตรากำไรจากการจำหน่ายถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียนั้นต่ำกว่าการส่งออกอย่างมาก เนื่องจากราคาจำหน่ายในประเทศนั้นถูกจำกัดไว้ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันตามดัชนี HBA นอกจากนี้ บทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเข้มงวดมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะรักษาอุปทานของถ่านหินในประเทศ
โดยบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม DMO ประกอบด้วยการปรับลดปริมาณการผลิตที่อนุญาตให้ผลิตได้ในปีถัดไป หรือการสั่งระงับการส่งออกจนกว่าจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดใน DMO ได้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบดังกล่าว แต่ทริสเรทติ้ง ก็เชื่อว่า บริษัทจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษเหล่านั้นได้
นอกจากนี้ ยังมีกฎระเบียบที่กำหนดให้บริษัทจะต้องจำหน่ายหุ้นที่ถือครองอยู่ใน LHI และ SGP ให้แก่หน่วยงานภาครัฐของประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากบริษัทต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้ถือหุ้นสูงสุดได้เพียง 49% ทั้งนี้ กระบวนการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จเนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐแสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ดี การลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในอนาคตจะมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจถ่านหินของบริษัทไม่มากนัก เนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดและมีอำนาจควบคุมบริษัททั้งสองเช่นเดิม
ผลกำไรสูงเป็นพิเศษในปี 2565
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564-2565 ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากราคาถ่านหินที่สูงกว่าปกติ อันเป็นผลจากวิกฤตพลังงานซึ่งเกิดจากการคว่ำบาตรของทวีปยุโรปต่อประเทศรัสเซีย ราคาถ่านหินนิวคาสเซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากราคาเฉลี่ยที่ 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนมกราคม 2565 มาอยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565
โดยความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดจากธุรกิจถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากนั้น สามารถชดเชยผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นรวมถึงผลขาดทุนจากการดำเนินงานของธุรกิจเอทานอลได้ทั้งหมด
ในช่วงที่ราคาถ่านหินมีราคาแพง บริษัทได้เร่งการผลิตถ่านหิน โดยเพิ่มปริมาณการจำหน่ายถ่านหินทั้งหมดเป็น 4.16 ล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 5.07 พันล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเมื่อเทียบกับรายได้ (EBITDA Margin) อยู่ที่ 40.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 17%-18% ในปีปกติ
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของถ่านหินจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากราคาถ่านหินที่สูงจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินต่างๆ เพิ่มกำลังการผลิต ในขณะเดียวกัน ก็คาดว่าวิกฤตพลังงานในทวีปยุโรปนั้นน่าจะค่อยๆ คลี่คลายจากการลดการพึ่งพาพลังงานจากประเทศรัสเซีย รวมไปถึงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความต้องการถ่านหินในระยะยาวยังคงอยู่ในทิศทางขาลง อันเป็นผลจากการที่หลายๆ ประเทศได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
ในสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า ราคาถ่านหินทั่วโลกจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงตลอดปี 2565 ก่อนที่จะอ่อนตัวลงในปี 2566 และ 2567 แต่ทั้งนี้ ก็ยังคาดว่าราคาถ่านหินทั่วโลกจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน โดย EBITDA ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงสู่ระดับปกติที่ 4 พันล้านบาทในปี 2567 โดย EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 40% ในปี 2565 และจะอยู่ที่ประมาณ 25% ในปี 2567
หนี้สินยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการดำเนินนโยบายด้านการเงินอย่างระมัดระวังของบริษัท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทจะมีการลงทุนหรือซื้อกิจการใหม่ๆ เนื่องจากบริษัทกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า กระแสเงินสดจำนวนมากที่บริษัทจะได้รับ และงบดุลที่แข็งแรงน่าจะเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนเหล่านั้นได้ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทต่อ EBITDA จะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะสูงกว่า 60% ในช่วงปี 2565-2567
สภาพคล่องของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยประเมินจากเงินสดคงเหลือ 4.17 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 เทียบกับภาระในการชำระหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวม 1.17 พันล้านบาท
โครงสร้างหนี้
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินตามที่รายงานซึ่งไม่รวมหนี้จากสัญญาเช่าการเงินอยู่ที่จำนวน 1.73 พันล้านบาทซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ซึ่งหมายความว่า อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 100% ซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงจากการด้อยสิทธิของเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการด้อยสิทธินั้นลดทอนลงด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ยอดขายถ่านหินรวมทั้งจากการผลิตและการค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.3 ล้านตันในปี 2565 และอยู่ที่ประมาณ 9.0-9.5 ล้านตันต่อปีในปี 2566-2567
- รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565 หลังจากนั้นจะลดลงเหลือ 1.7-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2566-2567
- EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 40% ในปี 2565 และ 25%-32% ในระหว่างปี 2566-2567
- เงินลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 0.4-0.5 พันล้านบาทต่อปี
- อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 80%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’หรือ’คงที่’ สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรง และธุรกิจเหมืองถ่านหินของบริษัทในประเทศอินโดนีเซียจะยังคงดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตนั้นมีจำกัดเนื่องจากอุปสงค์ในการใช้ถ่านหินมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว ซึ่งมีปัจจัยผลักดันมาจากกระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นจนส่งผลให้กระแสเงินสดและกำไรขยายตัวและมีเสถียรภาพมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่บริษัทยังสามารถรักษางบการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากหรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลานานซึ่งอาจเกิดจากอุปสงค์ถ่านหินทั่วโลกที่ลดลงอย่างรวดเร็วหรือมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในประเทศอินโดนีเซียที่ส่งผลกระทบในทางลบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจถ่านหินของบริษัท
ในขณะที่การซื้อกิจการโดยการก่อหนี้จนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 เท่าเป็นระยะเวลานานนั้นก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (LANNA)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html