- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 14 November 2022 09:45
- Hits: 1267
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น’เป็น ‘A’ จาก ‘A-‘ หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน เป็น ‘BBB+’ จาก ‘BBB’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ‘A’ จากเดิมที่ระดับ ‘A-‘ พร้อมทั้งเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทเป็นระดับ’BBB+’ จากเดิมที่ระดับ ‘BBB’ ด้วย ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็น ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’
การเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งจากการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและความยืดหยุ่นของโรงกลั่นน้ำมัน ตลอดจนราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น บวกกับการฟื้นตัวของยอดขายผ่านสถานีบริการน้ำมันของบริษัท
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงประโยชน์จากการมีบูรณาการระหว่างธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัท ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่มั่นคงของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย แต่ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากความอ่อนไหวต่อความผันผวนของค่าการกลั่นและราคาน้ำมัน รวมถึงการลงทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้บริษัทต้องก่อหนี้จำนวนมาก
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สอง
ผลการดำเนินงานของบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงระหว่างปี 2564 จนถึงครึ่งแรกของปี 2565 โดยบริษัทมีผลกำไรที่สูงกว่าประมาณการซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกช่วยเพิ่มอุปสงค์น้ำมันให้สูงขึ้นในขณะที่อุปทานน้ำมันอ่อนตัวลงจากการจำกัดงบลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 69.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครนยิ่งส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบโลก โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 101.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากสินค้าคงเหลือ (Inventory Gain) ถึง 6.7 พันล้านบาทในปี 2564 และ 8.5 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันที่ลดลงยังได้ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้นและขยายส่วนต่างของราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบให้กว้างขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์อีกด้วย ดังนั้น ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นเป็น 15.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จาก 4.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 ในขณะเดียวกัน อัตราการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงกว่า 100% ทั้งนี้ อัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการและการส่งออกผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงผ่านธุรกิจค้าน้ำมันของบริษัท รวมถึงความสำเร็จจากการลงทุนในโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานและสิ่งแวดล้อม (โครงการ 3E) ที่แล้วเสร็จในปี 2564 เป็นหลัก
บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ถึง 2.37 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 4.0-4.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งมากกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ในปีที่แล้วเกือบเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง คาดว่า EBITDA ของบริษัทอาจจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.0-3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2567 จากการคาดการณ์ว่าความตึงตัวของอุปทานน้ำมันจะผ่อนคลายลง แม้ว่าปัจจุบันจะมีความไม่สมดุลกันระหว่างอุปทานและอุปสงค์ แต่ทริสเรทติ้ง ก็เห็นว่าโดยพื้นฐานแล้ว ธุรกิจกลั่นน้ำมันของบริษัทยังคงมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น
มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มเพื่อเพิ่มค่าการกลั่น
บริษัทได้นำข้อได้เปรียบจากการจัดหาน้ำมันดิบที่มีปริมาณกำมะถันต่ำและการดำเนินงานของโรงกลั่นที่มีความยืดหยุ่นมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น น้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำมาก รวมถึง Unconverted Oil (UO) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตน้ำมันหล่อลื่น และสารทำละลายที่มีสารอะโรเมติกส์ต่ำ เป็นต้น โดยตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้ปรับสัดส่วนการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อลดผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงของน้ำมันอากาศยานและเพื่อเพิ่มค่าการกลั่นโดยรวมของบริษัท
ซึ่งโดยปกติ UO จะมีส่วนต่างราคาจากราคาน้ำมันดิบ (Crack Spread) ที่กว้างกว่าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 สัดส่วนผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่นของบริษัทประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 53% น้ำมันเบนซิน 20% UO 12% น้ำมันอากาศยาน 4% และเชื้อเพลิงอื่นๆ อีก 11% ในขณะที่ก่อนปี 2563 นั้น โรงกลั่นของบริษัทผลิต UO ได้เพียง 2%-4% ของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด
การจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ช่วยเพิ่มยอดขายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการของบริษัทให้สูงขึ้นเป็นอย่างมากจนเกินกว่าระดับในช่วงก่อนการแพร่ระบาด โดยยอดขายเฉลี่ยผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 382 ล้านลิตรต่อเดือนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากประมาณ 358 ล้านลิตรต่อเดือนในปี 2562 ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของบริษัทในการขยายเครือข่ายสถานีบริการและการเพิ่มสินค้าและบริการต่างๆ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์น้ำมันในสถานีบริการ ทั้งนี้ สถานีบริการภายใต้แบรนด์’บางจาก’ ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1,301 แห่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 โดยขยายตัวอย่างต่อเนื่องจาก 1,201 แห่ง ณ สิ้นปี 2562
ค่าการตลาดของบริษัทได้รับแรงกดดันจากการควบคุมราคาน้ำมันดีเซลในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 โดยค่าการตลาดสุทธิของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 0.59 บาทต่อลิตร จาก 0.75 บาทต่อลิตรในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการควบคุมราคาน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ทำให้ค่าการตลาดสุทธิของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นเป็น 0.94 บาทต่อลิตร
ทริสเรทติ้ง มองว่า ค่าการตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง น่าจะช่วยลดแรงกดดันที่มีต่อค่าการตลาดได้ สำหรับ ธุรกิจการตลาดของบริษัทนั้น ทริสเรทติ้ง คาดว่า จะยังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนให้แก่บริษัทต่อไปเนื่องจากค่าการตลาดของธุรกิจดังกล่าวมีความผันผวนน้อยกว่าค่าการกลั่น นอกเหนือจากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันที่มีส่วนช่วยทำให้กำไรโดยรวมมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น
OKEA มีสัดส่วนกำไรค่อนข้างมาก
การที่บริษัทมี EBITDA อยู่ในระดับที่สูงมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรวมผลการดำเนินงานทางการเงินของ OKEA ASA (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันในประเทศนอร์เวย์เข้ามาในงบการเงินรวมของบริษัท ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดย EBITDA ของบริษัทเป็นผลการดำเนินงานของ OKEA ถึง 7.8 พันล้านบาทในปี 2564 และ 7.8 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ทั้งนี้ กำไรของ OKEA ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าวในขณะที่ OKEA ยังคงรักษาระดับค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับต่ำ ราคาขายเฉลี่ยของ OKEA เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 75.9 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2564 คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 147% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประมาณ 110 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในทางตรงกันข้าม ค่าใช้จ่ายในการผลิตของ OKEA ยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 16-23 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงปี 2564 จนถึงครึ่งแรกของปี 2565 โดย OKEA มียอดขายรวมอยู่ที่ 5.8 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2564 และ 2.8 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ยอดขายของ OKEA จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการ ‘Yme’ นอกจากนี้ การประกาศซื้อสัดส่วนโครงการปิโตรเลียมที่ผลิตแล้วจาก Wintershall Dea AG. จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่ OKEA อีกประมาณ 7 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยธุรกรรมดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565
ทั้งนี้ จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง ยอดขายของ OKEA น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9-10 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบได้ในปี 2566 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 8-9 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาขายเฉลี่ยจะค่อยๆ ทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2565 แต่น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากอุปสงค์ก๊าซธรรมชาติที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งประมาณการว่า OKEA จะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 1.8-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 และที่ประมาณ 1.35-1.45 หมื่นล้านบาทในปี 2567
มีการลงทุนเป็นอย่างมากในธุรกิจผลิตไฟฟ้าสีเขียว
การเติบโตในธุรกิจพลังงานแบบยั่งยืนเป็นจุดยืนหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาและลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหลายประเภทโดยผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ปัจจุบัน บริษัท บีซีพีจี มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้วด้วยกำลังการผลิตรวมที่ขนาด 390 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดตามสัดส่วนการลงทุน
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า บริษัท บีซีพีจี จะใช้เงินลงทุนที่ประมาณ 4.85 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2565-2567 โดยครอบคลุมทั้งในส่วนของการซ่อมบำรุง การลงทุนทั้งในโครงการใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาและมีการดำเนินงานแล้ว รวมทั้งการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว
ทั้งนี้ ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าสีเขียวจะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทที่ประมาณ 3.5-5.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยทริสเรทติ้งยังคงเห็นว่าการกระจายการลงทุนเชิงกลยุทธ์ไปในธุรกิจผลิตไฟฟ้าสีเขียวจะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้แก่บริษัทเพื่อที่จะสามารถรองรับความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้
สถานะทางการเงินดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นเป็นอย่างมากเนื่องจากการมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและการมีวินัยทางการเงิน แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่บริษัทก็ยังคงพยายามที่จะรักษาโครงสร้างเงินทุนที่รัดกุมเอาไว้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 บริษัท บีซีพีจี ได้ขายเงินลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพและได้รับเงินสดประมาณ 1.46 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพของบริษัทยังได้รับเงินเพิ่มทุนอีกประมาณ 4.45 พันล้านบาทจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่ประชาชนทั่วไปในเดือนมีนาคม 2565 อีกด้วย
ดังนั้น บริษัทจึงมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วลดลงเหลือ 6.27 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.7% ณ เดือนมิถุนายน 2565 โดยลดลงจากระดับ 55.1% ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันโดยมาอยู่ที่ระดับ 3.2 เท่าในปี 2564 และ 1.6 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จาก 9.2 เท่าในปี 2563
ในช่วงปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะใช้งบในการลงทุนและใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 9.24 หมื่นล้านบาท โดยเงินจำนวน 4.85 หมื่นล้านบาทจะใช้ในธุรกิจผลิตไฟฟ้าสีเขียว จำนวน 2.17 หมื่นล้านบาทจะใช้ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาด จำนวน 1.87 หมื่นล้านบาทจะใช้ในกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 3.1 พันล้านบาทจะใช้ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และที่เหลืออีกจำนวน 0.3 พันล้านบาทจะใช้ในธุรกิจอื่น ๆ ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 50%-55% ในระหว่างปี 2565-2567
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับราวๆ 1.5-2.0 เท่าในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5-3.5 เท่าในช่วงปี 2566-2567 ตามแผนการลงทุนของบริษัท ทริสเรทติ้ง คาดว่า โครงการใหม่ๆ ของบริษัท ซึ่งรวมถึงโครงการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน และโครงการผลิตพาราฟิน แว็กซ์ (Paraffin Wax) มูลค่ารวมประมาณ 1.12 หมื่นล้านบาทน่าจะสามารถสร้างกำไรให้แก่บริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
สถานะสภาพคล่องเป็นที่น่าพอใจ
บริษัทมีสถานะสภาพคล่องเป็นที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนประมาณ 4.26 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1.63 หมื่นล้านบาท และทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 2.0-2.3 หมื่นล้านบาทอีกด้วย ในขณะเดียวกัน บริษัทจะมีหนี้สินที่ใกล้ครบกำหนดชำระซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะยาว หนี้สินตามสัญญาเช่า และหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 1.29 หมื่นล้านบาท
โครงสร้างหนี้
ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 8.33 หมื่นล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 1.87 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 2.01 หมื่นล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 46.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ระดับ 95-100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และ 85 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566 และ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567
- กำลังการกลั่นน้ำมันดิบของโรงกลั่นของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 110-120 พันบาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จนตลอดถึงปี 2567
- ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทจะอยู่ที่ 13-14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565 และ 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปี 2566-2567
- ยอดขายผ่านสถานีบริการน้ำมันของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 6%-8% ในช่วงปี 2565-2567
- ประมาณการใช้จ่ายและเงินลงทุนทั้งสิ้นจะอยู่ที่จำนวน 9.24 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความยืดหยุ่นในการผลิตตลอดจนประสิทธิภาพของโรงกลั่นของบริษัทเอาไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทจะยังคงดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ในขณะที่การขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าสีเขียวจะเพิ่มกระแสเงินสดจำนวนมากและคาดการณ์ได้มากขึ้นอีกด้วย ทริสเรทติ้ง ยังคาดด้วยว่า บริษัทจะยังคงรักษาวินัยทางการเงินที่ทำให้ภาระหนี้ของบริษัทยังคงสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากซึ่งอาจเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องมีการก่อหนี้ หรือบริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการลงทุน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BCP238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A |
BCP23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A |
BCP244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A |
BCP258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A |
BCP258B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A |
BCP26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A |
BCP26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A |
BCP273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A |
BCP275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A |
BCP278A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A |
BCP28DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A |
BCP29NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
A |
BCP303A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A |
BCP305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A |
BCP31NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
A |
BCP328A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 |
A |
BCP19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 10,000 ล้านบาท |
BBB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง
ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html