- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Friday, 14 October 2022 22:00
- Hits: 1567
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.กรุงเทพดุสิตเวชการ’ เป็น ‘AA+’ จาก ‘AA’แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ’AA+’ จาก ‘AA’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีกว่าคาดโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของผู้ป่วยชาวต่างชาติ ตลอดจนประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้น
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีเครือข่ายโรงพยาบาลขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและรู้จักเป็นอย่างดี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากและสภาพคล่องที่มากพอของบริษัทอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
บริษัทยังคงเป็นผู้นำตลาดในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 54 แห่งทั่วประเทศไทยและในประเทศเพื่อนบ้าน โดย ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีจำนวนเตียงสำหรับรองรับการให้บริการผู้ป่วยในทั้งสิ้น 6,658 เตียง หรือคิดเป็นสัดส่วน 18% ของจำนวนเตียงในโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดในประเทศ
บริษัทมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ระดับ 6.9-8.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของกลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.)
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทมาจากการมีเครือข่ายโรงพยาบาลที่กว้างขวางในทำเลที่ตั้งที่หลากหลาย ตลอดจนบริการด้านการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม และฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ บริษัทมีเครือข่ายโรงพยาบาลส่งต่อที่แข็งแกร่งซึ่งมีบุคคลากรทางการแพทย์และพยาบาลที่มีทักษะจำนวนมากที่สุด
ทั้งนี้ บริษัทมีแพทย์ที่ปฏิบัติงานในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัทมากกว่า 11,000 คนและมีพยาบาลวิชาชีพอีกประมาณ 8,000 คน ในช่วงปี 2558-2562 สัดส่วนรายได้รวมของบริษัทมาจากผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นประมาณ 70% และที่เหลืออีก 30% มาจากผู้ป่วยชาวต่างชาติ
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2564-2565
ในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2563 มาอยู่ที่ระดับ 7.57 หมื่นล้านบาท และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 รายได้ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 4.51 หมื่นล้านบาท
โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้ป่วยชาวไทยที่เพิ่มขึ้นและการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของผู้ป่วยชาวต่างชาติ ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความแข็งแกร่งเกินกว่าคาด โดยบริษัทมีรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 สูงกว่า 12% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติมีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 69% โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นมาจากทั้งผู้ป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อโรคโควิด 19 และผู้ป่วยด้วยโรคอื่นๆ ซึ่งช่วยทำให้อัตราการครองเตียงโดยรวมเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 75% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 53% ในช่วงเดียวกันของปี 2564
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า การขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ตลอดจนการให้บริการทางการแพทย์รูปแบบใหม่ และการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงมาใช้จะช่วยให้บริษัทเข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายความสามารถในการรองรับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องโดยการเปิดโรงพยาบาลและสร้างอาคารใหม่ในหลาย ๆ แห่ง
โดยในปี 2565 บริษัทได้เปิดอาคารใหม่ที่โรงพยาบาล 2 แห่ง คือ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร 1 อาคาร และที่โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 อีก 2 อาคารเพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มพรีเมี่ยมและกลุ่มบริการประกันสังคมอีกด้วย บริษัทยังได้มุ่งเน้นไปที่การขยายผู้ป่วยกลุ่มประกันผ่านการเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันหลายแห่งโดยรายได้จากผู้ป่วยกลุ่มประกันสุขภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 32% ของรายได้จากบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 29% ในปี 2561
จำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง มองว่า รายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศของบริษัทมีทิศทางที่จะฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งหลังจากซบเซาเป็นอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยจำนวนผู้ป่วยที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ (Fly-in Patient) เริ่มฟื้นตัวกลับมาในเดือนพฤศจิกายน 2564 และมีการฟื้นตัวที่ดีในปี 2565 เนื่องจากรัฐบาลไทยมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศและข้อกำหนดในการกักกันโรคสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศโดยลำดับ
จากความต้องการบริการดูแลสุขภาพที่ซับซ้อนในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ผู้ป่วยชาวต่างชาติต้องการเข้ามารับการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น จะเห็นว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาตัวในกลุ่มโรงพยาบาลของบริษัทนั้นเพิ่มขึ้นเป็นโดยเฉลี่ย 3,975 รายต่อวัน หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเข้าใกล้กับระดับในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ส่วนกลุ่มผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้นมีการฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ
ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ก็เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 300% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมาอยู่ที่ระดับเกือบ 1 หมื่นล้านบาทแต่ยังคงต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2562 อยู่ 19%
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศจะฟื้นตัวกลับมาในช่วง 3 ปีข้างหน้าภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เป็นวงกว้างทั่วโลกและจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทย จากการฟื้นตัวของอุปสงค์การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติในปี 2566 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดได้
พัฒนาโครงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Wellness) แห่งใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า
ในเดือนพฤษภาคม 2565 บริษัทประกาศว่าจะพัฒนาโครงการ ‘BDMS Silver Wellness & Residence’ โดยโครงการนี้มีที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน สารสินและถนนหลังสวนใกล้กับสวนลุมพินี ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 13 ไร่และมีพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 170,000 ตารางเมตร
โครงการนี้ประกอบด้วย ‘Silver Residence’ และ ‘Wellness Clinic’ ซึ่งเป็นศูนย์บริการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนสุขภาพองค์รวมของผู้คนในชุมชนที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ทริสเรทติ้งเห็นว่า โครงการใหม่นี้จะรองรับแนวโน้มความนิยมในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและอสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุและผู้ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพที่เติบโตขึ้น ซึ่งประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันระดับโลก
โครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.35 หมื่นล้านบาท บริษัทได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ด้วยต้นทุนการเช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี (ซึ่งสามารถต่ออายุได้อีก 30 ปี) รวมประมาณ 9.145 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ชำระค่าเช่างวดแรกจำนวน 2.5 พันล้านบาทไปแล้วในวันที่ทำสัญญาในปี 2565 และส่วนที่เหลือจะชำระหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก 6.5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีงบลงทุนสำหรับการก่อสร้างอาคาร จัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ติดตั้งระบบข้อมูล และอื่นๆ อีกรวมมูลค่า 1.44 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะทำการพัฒนาโครงการนี้โดยใช้ระยะเวลากว่า 6.5 ปีและใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดภายใน รวมทั้งเงินกู้จากธนาคาร และ/หรือการออกหุ้นกู้
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนจะเปิดตัวแพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพแบบใหม่และยกระดับบริการออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อีกด้วย การพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่นี้จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการด้านการรักษาสุขภาพแบบครบวงจร
ตลอดจนยารักษาโรค และอาหารเสริมต่างๆ รวมถึงการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีสื่อสารทางไกล (Telemedical Consultations) และบริการจัดส่งยารักษาโรค ซึ่งการบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีสื่อสารทางไกลนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดและคาดว่าน่าจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นและจะสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่บริษัทในอนาคต
การทำกำไรจะเพิ่มขึ้น
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นตามสภาวะตลาดการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่งและจากสถานะการแข่งขันที่เข้มแข็งของบริษัทในตลาด โดยรายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวเป็น 8.3-8.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการฟื้นตัวของผู้ป่วยชาวไทยที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 จะช่วยชดเชยรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ที่ลดลงได้
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2565-2566 จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการฟื้นตัวกลับมาของผู้ป่วยและแผนการขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว บริษัทจึงได้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพและความพยายามในการควบคุมต้นทุนให้มากขึ้น เช่น การเพิ่มการใช้ยาสามัญ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมการขายและส่งเสริมทางการตลาดในระดับที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่ากำไร ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.8-2 หมื่นล้านบาทโดยอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) จะอยู่ที่ระดับ 22%-23% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
มีงบการเงินที่แข็งแกร่งโดยมีหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่ต่ำและมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่แข็งแกร่งมากที่ระดับ 8.3%
และเนื่องจากบริษัทมี EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้นจึงส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.4 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2565 จากระดับ 0.6 เท่า ณ สิ้นปี 2564
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีความต้องการใช้เงินทุนที่ประมาณปีละ 6 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทสำหรับลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมทั้งใช้ขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ซ่อมบำรุงสินทรัพย์ และพัฒนาระบบเทคโนโลยีต่างๆ
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ว่าการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นเงินลงทุนบางส่วน ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1-1.5 เท่าในช่วงเวลาประมาณการ
มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดีในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.66 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2565 อีกทั้งวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท
โดยทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ความต้องการใช้เงินทุนจะประกอบด้วยค่าใช้จ่ายลงทุนและภาระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 0.6 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และ 5 พันล้านบาทในปี 2566
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จะปรับตัวดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ระดับ3- 8.9 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
- EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 22%-23%
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณปีละ 6 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนเอาไว้ได้และจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป เมื่อพิจารณาจากวินัยทางการเงินที่ดีของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้ง ก็คาดว่า สถานะทางการเงินของบริษัทน่าจะยังคงแข็งแกร่งอยู่โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ในช่วง 1-1.5 เท่าในเวลาช่วงประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากบริษัทมีสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการลงทุนด้วยการก่อหนี้ใดๆ ที่ทำให้งบการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่สูงเกินกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นมีจำกัดในระยะปานกลาง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BDMS233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA+ |
BDMS242A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA+ |
BDMS256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA+ |
BDMS266A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html