- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 08 August 2022 07:45
- Hits: 1685
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.เอส 11 กรุ๊ป’ที่ ‘BBB-‘ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่ดีในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของบริษัท
ปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดสำหรับอันดับเครดิตของบริษัทประกอบไปด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทอาจจะอ่อนลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอและสภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง
นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมซึ่งอาจทำให้การเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับและการกลับมาขยายสินเชื่อเป็นไปอย่างจำกัด การควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีฐานทุนที่แข็งแกร่งและการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำ
ฐานทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทถือเป็นปัจจัยในด้านบวกต่ออันดับเครดิต โดยฐานทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัวของสินเชื่อรวมของบริษัท และการสะสมผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในระดับ 29.7% โดยปรับตัวดีขึ้นจากระดับประมาณ 21%-22% ในอดีต
ในด้านของการก่อหนี้นั้น บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับ 0.76 เท่า ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.56 เท่าในปี 2562 จากฐานทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นและการก่อหนี้ที่ลดลง ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถรักษาระดับฐานทุนที่แข็งแกร่งและภาระหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำเอาไว้ได้ในระยะยาวจากกลยุทธ์การเติบโตอย่างระมัดระวัง
การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แข็งแกร่ง
ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทนั้นเกิดจากความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำมาจากการที่บริษัทสามารถบริหารและใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
รวมไปถึงการมีโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่ผันแปรในระดับสูง ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่ามีความยั่งยืน ในปี 2564 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25.7% จากระดับ 28.9% ในปี 2563 และดีกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่งซึ่งอยู่ในระดับเกินกว่า 50%
ในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 400 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 18.6% จากปี 2563 การปรับตัวลดลงของกำไรนั้นมาจากการหดตัวของสินเชื่อรวม อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยรับที่ลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรง และค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับสูงเพื่อคงระดับค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นระดับสูงไว้ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่สูงช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สามารถรองรับผลกระทบจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่า จะเกิดขึ้นและผลกระทบจากการควบคุมอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 4.62% ในปี 2564 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 4.96% ในปี 2563 โดยอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าคู่แข่งที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 3%
คาดว่าคุณภาพสินทรัพย์จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น
คุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างอ่อนแอของบริษัทยังคงเป็นข้อจำกัดที่สำคัญต่ออันดับเครดิตของบริษัท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทปรับตัวลดลงสู่ระดับ 5.94% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 จากระดับ 10%-11% ในอดีต อย่างไรก็ตาม การลดลงของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั้นมาจากการตัดหนี้สูญจำนวนมากของบริษัทตั้งแต่ปี 2563
ทั้งนี้ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวมกับการตัดหนี้สูญของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 19% ในไตรมาสแรกของปี 2565 จากระดับต่ำกว่า 18% ในอดีต โดยทริสเรทติ้งคาดว่าการสะสางสินเชื่อด้อยคุณภาพของบริษัทและการอนุมัติสินเชื่ออย่างระมัดระวังจะทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ในด้านการตั้งสำรอง
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12.9% (ตัวเลขปรับให้เป็นเต็มปี) และ 11.5% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 และปี 2564 ตามลำดับ จาก 9.9% และ 7.8% ในปี 2563 และ 2562 เป็นผลจากนโยบายการคงระดับสำรองในระดับสูงในช่วงการเร่งตัดหนี้สูญ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างแข็งแรงที่ 227.5% โดยปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 179.9% และ 123.8% ในปี 2564 และ 2563 ตามลำดับ
ถึงแม้ว่า ทริสเรทติ้ง จะคาดว่า คุณภาพสินทรัพย์ของทางบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้าอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทมีความอ่อนแอมากขึ้นและอาจทำให้ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยะปานกลาง ในอีกมุมหนึ่ง โครงสร้างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ต่ำและฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแรงจะยังคงช่วยสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรและสถานะเครดิตของบริษัทท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอแม้จะมีภาระหนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับสูง
สถานะแหล่งเงินทุนของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยมีอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพที่อยู่ในระดับ 137% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีสัดส่วนภาระหนี้ระยะสั้นที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีที่อยู่ในระดับสูง แต่ทริสเรทติ้งยังมองว่าความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้านั้นยังอยู่ในระดับที่จัดการได้
โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 สัดส่วนภาระหนี้ระยะสั้นของบริษัทอยู่ที่ระดับ 78.2% ของภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัท และจากภาระหนี้ระยะสั้นทั้งหมดที่จะครบกำหนดนั้นเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดภายใน 1 ปีอยู่ในสัดส่วน 62.6% และอีก 37.4% เป็นเงินกู้ระยะสั้น
ทริสเรทติ้ง มองว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่บริษัทมีกับสถาบันการเงินต่างๆ และวงเงินสินเชื่อคงเหลือที่เพียงพอนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่อาจจะเกิดขึ้นแก่บริษัทท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอน
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ ที่สามารถเบิกใช้ได้จำนวนประมาณ 1.8 พันล้านบาท โดยบริษัทประมาณการว่ากระแสเงินสดที่บริษัทจะได้รับจากการชำระคืนจากลูกหนี้ในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 3.6 พันล้านบาท ในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.7 พันล้านบาท
การแข่งขันที่รุนแรงและเพดานอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลต่อการเติบโตของสินเชื่อและกดดันต่อความสามารถในการทำกำไร
ในปี 2564 ยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยและการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ทำให้ยอดขายรถจักรยานยนต์และการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ปรับตัวลดลง 11.8% และ 1.7% ในปี 2563
ซึ่งในปี 2564 ยอดขายรถจักรยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ระดับสินเชื่อรวมของผู้ประกอบการ 8 รายใหญ่ในฐานข้อมูลทริสเรทติ้งค่อนข้างคงที่ ถึงแม้ว่าความต้องการรถจักรยานยนต์ในปีนี้จะมีอยู่ในระดับสูง
แต่การขาดตลาดของรถจักรยานยนต์ ทำให้ยอดขายรถจักรยานยนต์เติบโตแค่ 3% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 ในด้านการปล่อยสินเชื่อ นโยบายการอนุมัติสินเชื่อมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นจากคุณภาพเครดิตของลูกค้าที่ปรับตัวอ่อนลงทำให้การเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงเช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ยังคงเข้ามาในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ดังนั้น การแข่งขันจึงยังคงรุนแรงในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค จึงมีการพยายามผลักดันกฎหมายการควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
โดยกฎระเบียบการควบคุมที่จะคาดว่าจะประกาศในไม่ช้านี้มีแนวโน้มที่จะควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30% ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อการเติบโตของสินเชื่อและความาสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้ง ตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 ดังนี้
- สินเชื่อของบริษัทจะคงที่ในปี 2565 และจะเติบโตที่ระดับ 5%-10% ต่อปีหลังจากนั้น
- อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงจะคงอยู่ในระดับมากกว่า 20%
- อัตราผลตอบแทนจากรายได้ดอกเบี้ยต่อสินเชื่อรวมจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 25%
- ต้นทุนทางด้านเครดิตจะอยู่ในระดับมากกว่า 10% ในปี 2565 และจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 9% ต่อปีหลังจากนั้น
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ที่ระดับ 30%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ’คงที่’ อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอย่างน้อยที่สุดบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกัน จะยังคงมีผลประกอบการทางการเงิน ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ และการก่อหนี้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นในขณะที่ยังคงสามารถดำรงสถานะทางการเงินโดยรวมให้เข้มแข็งเอาไว้ได้ซึ่งสะท้อนจากการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่ในระดับปานกลาง รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดี และมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรเมื่อพิจารณาจากกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยลดลงต่ำกว่า 1.5% หรือความเพียงพอของเงินทุนซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่าระดับ 15% อย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (S11)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html