- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 29 May 2022 21:14
- Hits: 4754
ทริสเรทติ้ง ประกาศเครดิตพินิจ ‘Positive’ อันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ ‘บ.ทรู คอร์ปอเรชั่น’
ทริสเรทติ้ง ประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ แนวโน้ม ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สำหรับอันดับเครดิตองค์กร รวมทั้งอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันและหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ ‘BBB+’ ส่วนอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนอยู่ที่ระดับ ‘A-‘
การประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคืบหน้าของแผนการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทและ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) และประโยชน์ที่คาดว่าน่าจะเกิดจากความแข็งแกร่งทั้งในด้านธุรกิจและสถานะทางการเงินที่มีมากยิ่งขึ้นของบริษัทใหม่ซึ่งเกิดจากการควบรวม (NEWCO)
ทั้งนี้ ทั้งบริษัทและ DTAC เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทในการควบรวมกิจการดังกล่าว โดยขณะนี้การควบรวมอยู่ระหว่างรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อการดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จ ในการนี้ เมื่อการควบรวมแล้วเสร็จ หนี้ทั้งหมดของบริษัทซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ที่จัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง จะถูกโอนไปยัง NEWCO
ทริสเรทติ้ง มีความเห็นว่า บริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้จะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของบริษัท โดยคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
อีกทั้ง สถานะทางการเงินของ NEWCO น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ NEWCO หลังจากการควบรวมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่าซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า
ทริสเรทติ้ง มีมุมมองว่า ความท้าทายในการได้รับการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญสำหรับการควบรวมกิจการดังกล่าวและมีความเป็นไปได้ว่ากำหนดเวลาในการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จนั้นอาจมีการขยายออกไป
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะทบทวน ‘เครดิตพินิจ’ ของบริษัทอีกครั้งเมื่อธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นและทริสเรทติ้งได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อสถานะเครดิตของบริษัทจากการทำธุรกรรมดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งบริษัททั้ง 2 แห่งคาดว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ในการนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าในการควบรวมกิจการอย่างใกล้ชิดและจะดำเนินการทบทวนอันดับเครดิตตามความเหมาะสมต่อไป
อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทยที่มีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงต่อไป อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัท
และความคาดหวังของทริสเรทติ้ง ว่า บริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอีกด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของไทย โดยบริษัทดำเนินธุรกิจในหลากหลายแพลตฟอร์มซึ่งประกอบด้วยธุรกิจให้บริการสื่อสารแบบไร้สาย ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) และธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัล
บริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมาอยู่ที่ 1.47 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่จำนวน 3.62 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565
โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge -- IC) ในปี 2564 ลดลง 0.9% มาอยู่ที่ 1.06 แสนล้านบาทจากผลของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงซึ่งส่งผลกระทบต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงินและธุรกิจ Pay TV ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2565 ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เป็นผู้ให้บริการสื่อสารแบบไร้สายรายใหญ่อันดับ 2
บริษัทมีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 2 ในอุตสาหกรรมทั้งในด้านจำนวนลูกค้าและรายได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นจำนวน 32.6 ล้านรายหรือคิดเป็นสัดส่วน 33.6% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในอุตสาหกรรม
ในขณะที่รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวม IC ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7.98 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และอยู่ที่ระดับ 1.97 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านของรายได้ที่ระดับประมาณ 32%
บริษัทยังคงขยายโครงข่าย 5G และ 4G (5th and 4th Generation) อย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆ กับนำเสนอเนื้อหาดิจิทัลและประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบพิเศษแก่ลูกค้าเพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้าและเสริมสถานะทางการตลาดของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทในอนาคตจะค่อยๆ ฟื้นตัวโดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ด้านบริการข้อมูลที่เพิ่มขึ้นตลอดจนการที่ลูกค้าเปลี่ยนจากการใช้งานระบบเติมเงินไปสู่ระบบรายเดือน ทั้งนี้ รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (Average Revenue per User -- ARPU) ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่น่าจะฟื้นตัวในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อมีการเปิดประเทศอีกครั้งเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา
การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
อุตสาหกรรมการสื่อสารแบบไร้สายของไทยต้องเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดใหญ่ที่ยืดเยื้อส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดต่ำลงอีกทั้งการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าในระบบเติมเงิน
ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างก็พยายามนำเสนอบริการใหม่ ๆ และการส่งเสริมการตลาดที่น่าสนใจเพื่อแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่ง แม้ว่าจำนวนลูกค้าโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวในปี 2564 แต่ ARPU ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้มูลค่ารวมของตลาดลดลง 1.3% มาอยู่ที่ 2.53 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2% ต่อปีในช่วงปี 2561-2562 ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2565 มูลค่าตลาดยังคงหดตัวที่ระดับ 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เป็นผู้นำในตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
บริษัทยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยส่วนแบ่ง 35.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ในช่วงที่มีการปิดเมือง (Lockdown) จากผลของการแพร่ระบาดใหญ่ ธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตของครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากคนจำนวนมากทำงานจากบ้าน รวมทั้งเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์
และชมรายการความบันเทิงที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ARPU ของบริษัทก็ได้รับแรงกดดันจากการส่งเสริมการขายของคู่แข่งในบางพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง โดยในปี 2564 รายได้จากธุรกิจนี้มีมูลค่ารวม 2.52 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2563 แม้จะมีแรงกดดันในด้านลบต่อ ARPU แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังรักษาระดับการเติบโตในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในช่วงปี 2565-2567 เอาไว้ได้
ธุรกิจ Pay TV เผชิญกับความท้าทาย
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ธุรกิจ Pay TV ของบริษัทจะยังคงเผชิญกับความท้าทายจากจำนวนสมาชิกที่ลดลงรวมถึงการเปลี่ยนไปสู่การชมรายการผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ ‘Over-the-Top’ (OTT) มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2564 รายได้ของบริษัทจากธุรกิจ Pay TV หลังจากหักรายการระหว่างกันแล้วลดลง 11% มาอยู่ที่ 7.35 พันล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงปี 2565-2567
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ธุรกิจ Pay TV กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยคาดว่ารายได้จากความบันเทิงและโฆษณาจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม รายได้จากบริการ Pay TV โดยรวมมีแนวโน้มที่จะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดต่อไปเนื่องจากพฤติกรรมการรับชมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนจะส่งผลดีต่อผลกำไร
บริษัทได้มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนและการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานซึ่งส่งผลในด้านบวกต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยในปี 2564 EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 6.23 หมื่นล้านบาทจาก 5.68 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และมีอัตรา EBITDA ต่อรายได้รวม (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นเป็น 42.3% จาก 40.6% นอกจากนี้ EBITDA ในไตรมาสแรกของปี 2565 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมาอยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาระดับการเติบโตในธุรกิจหลัก ๆ เอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในประมาณการ ทริสเรทติ้งพิจารณาธุรกิจของบริษัทให้เป็นไปตามปกติโดยไม่ได้รวมแผนการควบรวมไว้ด้วย โดยคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.48-1.52 แสนล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567
ในการนี้ บริษัทมุ่งเน้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดระบบดิจิทัล และการใช้มาตรการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6.1-6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยจะมี EBITDA Margin ที่ระดับ 41%-43% ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทนั้นคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 4.2-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
งบการเงินที่มีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดที่สำคัญจากการมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีหนี้ที่ปรับปรุงสุทธิอยู่ที่จำนวนประมาณ 4.1 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทมี EBITDA ที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจึงทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.5 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 7-8 เท่าในช่วงปี 2562-2563 ในขณะที่มีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 10.4% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 83.6%
ในอนาคตทริสเรทติ้ง คาดว่า หนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อพิจารณาจากความต้องการใช้เงินลงทุนสำหรับขยายโครงข่ายและภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ตามกำหนด ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนสำหรับการขยายโครงข่ายจำนวน 3.8-4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และมีภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่อีกปีละประมาณ 9.4 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน
ซึ่งทำให้ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทว่าจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 6.5-7 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10%
ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดที่ระดับประมาณ 40%
มีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สภาพคล่องของบริษัทจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 2.63 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีหุ้นกู้และเงินกู้จากธนาคารที่จะครบกำหนดชำระในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 5.98 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาเช่าในส่วนที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีอีกจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทอีกด้วย
เมื่อพิจารณาความต้องการใช้เงินทุนในการขยายโครงข่ายและเงินทุนจากการดำเนินงานแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมได้
สถานะเครดิตของผู้ค้ำประกัน
ทริสเรทติ้ง ประเมินอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัท โดยพิจารณาจากสถานะเครดิตของทั้งผู้ออกตราสารและผู้ค้ำประกัน คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘AA+’ และแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ จากทริสเรทติ้ง โดยธนาคารกสิกรไทยค้ำประกันหุ้นกู้ในสัดส่วน 45% ของเงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้
อันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกสิกรไทยอยู่ที่ระดับ ‘AA+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยในการพิจารณาอับดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทยนั้น ทริสเรทติ้งใช้ข้อมูลสาธารณะซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการประเมินสถานะเครดิตของธนาคาร
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวแต่อย่างใด อันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกสิกรไทยสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของธนาคารจากการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ตลอดจนพอร์ตเงินให้กู้ยืมที่มีความหลากหลาย สถานะเงินทุนที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของธนาคารทั้งในด้านแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากการที่ธนาคารมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงจากการมีลูกค้าอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นจำนวนมากซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับลูกค้าเงินกู้ในกลุ่มอื่นๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัทจะเติบโตเล็กน้อยในช่วงปี 2565-2567 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจ Pay TV จะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
- EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 41%-43% ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า
- เงินลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.8-4 หมื่นล้านบาทต่อปีเพื่อใช้ขยายโครงข่ายการให้บริการในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า
- ภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ตามกำหนดจะอยู่ที่ประมาณ 9.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
หมายเหตุ ‘เครดิตพินิจ’
‘เครดิตพินิจ’ เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทบทวนผลอันดับเครดิตของตราสารหนี้หรือองค์กรที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศผลอันดับเครดิตไปแล้ว ซึ่งโดยปกติการทบทวนดังกล่าวจะกระทำตลอดอายุของตราสารหรือสัญญาและสรุปผลเมื่อครบรอบปี ในระหว่างเวลานั้นหากมีกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหน่วยงานแต่ข้อมูลผลกระทบยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณาทบทวน
ทริสเรทติ้งจะประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงผลดังกล่าวโดยมีแนวโน้ม 3 รูปแบบ คือ ’Positive’ (บวก) ‘Negative’ (ลบ) และ’Developing’ (ยังไม่ชัดเจน) ตามลักษณะของผลกระทบนั้นๆ ซึ่งจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลอันดับเครดิตแต่อย่างใด
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
TRUE227A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 945 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB+ |
TRUE228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,799.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB+ |
TRUE228B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 830 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB+ |
TRUE232A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,330 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TRUE232B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,875 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TRUE237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,394.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TRUE239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TRUE23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,438.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TRUE245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,415.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TRUE248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,841.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TRUE24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,325 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TRUE24OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,212.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TRUE24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,268.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TRUE251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,994.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE251B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,971.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,207.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,575.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 650 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE25OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,247.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,486.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TRUE261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,130.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE261B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,912.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,865.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE263A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,412.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,854.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,805.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TRUE272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,636.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TRUE273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,656.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TRUE27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,116.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TRUE27DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,855.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TRUE28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,184.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
BBB+ |
TRUE22NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน 8,330 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
A- |
แนวโน้มเครดิตพินิจ: |
Positive |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html