WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AHเย็บซูชวน

AH โชว์งบ Q1/65 นิวไฮกำไรหลักโต 32% ดีมานด์พุ่งรับยอดผลิตรถยนต์ฟื้นตัว

          AH โชว์ผลงาน Q1/65 ทำนิวไฮ รายได้รวม 6,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และกำไรสุทธิก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับผลดีธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ดีมานด์เพิ่ม ชู 3 ธุรกิจหลักฟื้นตัว อุตสาหกรรมยานยนต์เด่น-ออเดอร์โต ดันปริมาณการผลิตพุ่ง ส่องแนวโน้ม Q2/65 โตต่อ วางแผนเปิดศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถ อีก 1 แห่ง เล็งเตรียมความพร้อมด้านทีมงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV รองรับเทรนด์ในอนาคต มั่นใจทั้งปี 65 รายได้โต 30% ตามแผน

          นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการหลังการขาย และธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ และ IoT (Internet of Things) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/65 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 6,815 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1,076 ล้านบาท หรือเติบโต 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,739 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 406 ล้านบาท หรือเติบโต 32% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำไว้ 308 ล้านบาท

          โดยผลประกอบการไตรมาส 1/65 เติบโตดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการในระดับที่สูงและการคลี่คลายของปัญหาการขาดแคลนไมโครชิป ทำให้มีคำสั่งผลิต (Order) จากธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ประกอบกับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ฟื้นตัวได้ดี ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ และภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อ IoT ยังคงมีทิศทางที่ดี ซึ่งในปีนี้เริ่มมีออเดอร์เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ GPS และอุปกรณ์ติดตามเข้ามามากขึ้น

          ทั้งนี้แม้ว่าช่วงไตรมาส 2/65 มีช่วงสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว ทำให้ไลน์การผลิตหยุดตามไปด้วย แต่โดยภาพรวมเชื่อว่าแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 2/65 น่าจะเติบโตนิวไฮต่อเนื่องจากไตรมาส 1/65 หลังจากบริษัทคาดว่าจะมีออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น ซึ่งอิงจากตัวเลขประเมินของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่ 1.8 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มียอดผลิต 1.68 ล้านคัน โดยแบ่งเป็นผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน

          ขณะที่ปัญหาขาดแคลนไมโครชิปทั่วโลก (Chip Shortage) สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มดีขึ้นแล้วตั้งแต่ในไตรมาส 1/65 และคาดว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นจนกลับสู่ภาวะปกติได้ในปี 66

 

EXIM One 720x90 C J

วิริยะ 720x100

 

          ด้านต้นทุนราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นมานั้น บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวไปกับลูกค้าในประเทศไทย ซึ่งสัญญาเกือบทั้งหมดนั้น ทางลูกค้าจะเป็นผู้รับความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ส่วนของประเทศโปรตุเกสนั้น บริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนจากราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ให้กับลูกค้าได้ โดยใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนโดยเฉลี่ยเพื่อตกลงเรื่องรายละเอียดของต้นทุนส่วนที่เพิ่ม ทำให้บริษัทมีผลกระทบจากต้นทุนที่เกิดขึ้นจำกัด โดยยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ และคาดว่าราคาเหล็กจะกลับสู่ภาวะปกติหลังสงครามคลี่คลาย

          ส่วนต้นทุนการขายและบริการเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 71 ล้านบาท หรือ 11% แต่อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 11% โดยยังอยู่ภายในเป้าหมายอัตรากำไรชั้นต้นของบริษัทที่ 10-12% และสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่ 10% สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก 7% เป็น 6% ในไตรมาส 1/65

          ทั้งนี้ บริษัทวางแผนเปิดศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถในช่วงครึ่งปีหลัง อีก 1 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมความพร้อมด้านทีมงาน สำหรับผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รองรับเทรนด์ในอนาคต หลังภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะมีปริมาณการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกช่องทางหนึ่ง

          สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 65 บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมเติบโตอยู่ที่ 30% ตามแผน เมื่อเทียบกับปี 64 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,967 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์เสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานท่ามกลางวิกฤตต่างๆ และปรับตัวและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมองหาโอกาสในการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

          ขณะเดียวกันมุ่งเน้นเป้าหมายขึ้นแท่นเป็นบริษัทระดับสากล จากการมีฐานธุรกิจในหลากหลายประเทศทั่วโลก ควบคู่ไปกับสร้างความสัมพันธ์ของลูกค้ารับจ้างผลิต (OEM) และการมีชื่อเสียงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยปัจจุบัน บริษัทมีตลาดในประเทศมาเลเซีย จีน ยุโรป โปรตุเกส และอินเดีย อีกทั้งจะเน้นการขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้มากขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก ส่วนในประเทศไทยมีทิศทางที่ดี และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

 

A5556

 Click Donate Support Web 

AXA 720 x100

aia 720 x100GC 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ais 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!