- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 16 May 2022 20:54
- Hits: 4489
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ยูเอซี โกลบอล’ ที่ ‘BBB-‘แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจซื้อมาขายไปซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และเงินปันผลจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง
ตลอดจนการก่อหนี้ในระดับต่ำของบริษัท ขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากการพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงธุรกิจพลังงานของบริษัทที่ยังมีผลการดำเนินงานไม่ดีนักและมีความเสี่ยงในด้านการจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการใหม่ๆ ของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีความแข็งแกร่งในธุรกิจซื้อมาขายไป
ทริสเรทติ้ง เห็นว่า ความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปเป็นจุดแข็งหลักของบริษัท ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า 2 ทศวรรษในธุรกิจนี้ บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้กับผู้ผลิตสินค้าชั้นนำในระดับโลก เช่น Honeywell และ PALL Corporation สินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำด้านเทคนิคซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรักษาลูกค้าเอาไว้ได้ ลูกค้าประจำส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโรงกลั่นน้ำมันและบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในประเทศไทย
การซื้อขายสารเคมีและอุปกรณ์ต่างๆ ถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทโดยมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทน่าจะยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปเอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากประวัติที่ยาวนานของบริษัท ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ารายสำคัญ และความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่างๆ
มีการพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง
ความแข็งแกร่งของธุรกิจซื้อมาขายไปลดทอนลงจากการกระจุกตัวทางธุรกิจในระดับสูง โดยบริษัทสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ 5 อันดับแรกในสัดส่วนรวมกันประมาณ 70% ของทั้งหมด ทั้งนี้ สัญญาดังกล่าวส่วนใหญ่จะไม่ได้มีการจำกัดตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวและมีระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี แม้สัญญามักจะทำในระยะสั้นๆ แต่บริษัทก็สามารถต่อสัญญาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสะท้อนความสัมพันธ์ในระยะยาวระหว่างกัน
ในขณะเดียวกัน ลูกค้ารายใหญ่ 5 อันดับแรกของบริษัทสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 40% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้าของบริษัทโดยทั่วไปแล้วมีความต้องการใช้สารเคมีและอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดอายุของโรงงาน และการเปลี่ยนตัวแทนผู้จำหน่ายสินค้าก็อาจเป็นการสร้างภาระต้นทุนได้
รายได้ถูกกระทบจากโรคระบาด
ธุรกิจซื้อมาขายไปของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งส่งผลให้รายได้ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อุปสงค์ต่อสินค้าของบริษัทลดต่ำลงเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันลดการผลิตและชะลอการลงทุนต่างๆ ออกไปจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรค
ทั้งนี้ อัตรากำไรของธุรกิจดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และทรงตัวในระดับที่น่าพอใจประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้หลักของบริษัทจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน
รายได้จากเงินปันผลจำนวนมาก
อันดับเครดิตสะท้อนเงินปันผลจำนวนมากที่บริษัทได้รับจาก บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมแห่งหนึ่งที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 30% บริษัทรับรู้เงินปันผลจำนวนมากจาก BBF ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้ช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของกำไรของธุรกิจซื้อมาขายไปได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ BBF ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลซึ่งใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงและกลีเซอรีนดิบ BBF กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงจากอุปทานส่วนเกินและส่วนผสมไบโอดีเซลที่ลดลงอันเนื่องมาจากมาตรการในปัจจุบันของรัฐบาลที่จะควบคุมราคาน้ำมันดีเซล
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง คาดว่า BBF จะยังสร้างเงินปันผลให้แก่บริษัทได้อย่างมีสาระสำคัญในระยะยาวจากผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลที่มีแนวโน้มเติบโต โดยบริษัทน่าจะได้รับเงินปันผลจาก BBF ปีละ 150-180 ล้านบาทในช่วงปี 2565-2567 ภายใต้ประมาณการของทริสเรทติ้ง
ธุรกิจพลังงานมีผลการดำเนินงานไม่ดีนัก
สำหรับ ธุรกิจพลังงาน บริษัทมีการลงทุนในหลายโครงการซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และโดยส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานไม่ดีนักเนื่องจากความไม่เพียงพอของเชื้อเพลิง ความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง ตลอดจนจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ
โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) และโรงไฟฟ้าก๊าซ 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดสุโขทัยมีความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง การดำเนินงานของโรงงานเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ขายก๊าซ 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) และ บริษัท สยามโมเอโกะ จำกัด (SML) โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา PTTEP ลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลงขณะที่ SML ก็หยุดการผลิต ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงงานของบริษัทเหล่านี้ไม่มั่นคง
บริษัทเพิ่งรับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมจาก SML และวางแผนผลิตปิโตรเลียมบนบกใกล้กับโรงงาน PPP ของบริษัท ด้วยเงินลงทุนเพิ่มเติมประมาณ 50 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะได้รับก๊าซเพิ่มเติมซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณวัตถุดิบและกำลังการผลิตให้กับโรงงาน PPP และโรงไฟฟ้าของบริษัทได้ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และเนื่องจากบริษัทยังขาดประสบการณ์ในการผลิตประกอบกับความไม่แน่นอนของปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทริสเรทติ้งจึงประมาณการเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวอย่างระมัดระวัง
ความเสี่ยงในด้านการจัดการต่างๆ ของโครงการใหม่ๆ
นอกจากการผลิตปิโตรเลียมแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ ๆ ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพในจังหวัดขอนแก่นและโครงการจัดการขยะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริษัทชนะการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (ภูผาม่าน) ขนาด 3 เมกะวัตต์ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง โดยบริษัทร่วมลงทุนและแบ่งผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวกับวิสาหกิจชุมชน
ซึ่งบริษัทวางแผนจะเริ่มผลิตไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเมื่อพิจารณาจากอัตราค่าไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำและความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ
อันดับเครดิตยังพิจาณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโครงการในต่างประเทศแห่งแรกของบริษัท โดยโครงการใน สปป.ลาว ประกอบด้วยการก่อสร้างระบบบริหารจัดการขยะและโรงไฟฟ้า ในระยะแรก โครงการจะรับขยะชุมชนจากนครหลวงเวียงจันทร์เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel – RDF) แล้วจำหน่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ผู้ผลิตปูนซีเมนต์
ส่วนในระยะที่สอง บริษัทจะสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ RDF ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าของ สปป.ลาว (Electricite du Laos – EDL) โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 800 ล้านบาทซึ่งค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับความสามารถในการลงทุนของบริษัท ในการนี้ บริษัทจำเป็นต้องได้สัญญาหลักๆ ก่อน เช่น สัญญารับซื้อเชื้อเพลิง RDF และสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA)
ทริสเรทติ้ง มองว่า โครงการบริหารจัดการขยะมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในด้านขนาดของโครงการ การขาดประสบการณ์ในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ ตลอดจนความน่าเชื่อถือของผู้รับซื้อไฟฟ้า ดังนั้น ทริสเรสติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะพัฒนาโครงการและลงทุนอย่างระมัดระวัง
อีกทั้ง จะดำเนินการเฉพาะในระยะแรกซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาทโดยทำสัญญากับผู้ซื้อเชื้อเพลิง RDF ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการดำเนินการในระยะที่สองจะไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้จึงยังไม่รวมไว้ในประมาณการของทริสเรทติ้ง
การก่อหนี้อยู่ในระดับต่ำ
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ธุรกิจซื้อมาขายไปจะยังเป็นธุรกิจหลักในการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทและจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ ขณะที่ธุรกิจพลังงานน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ที่ประมาณ 20% ขณะที่ EBITDA น่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 400 ล้านบาท และเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 350 ล้านบาทในช่วงประมาณการ
อันดับเครดิตสะท้อนคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าการก่อหนี้ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับต่ำและบริษัทจะไม่มีการลงทุนจำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยมีจำนวนเงินลงทุนรวมกันประมาณ 260 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2-3 เท่า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ 35%-40% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะทรงตัวในระดับต่ำที่ประมาณ 30%-35%
ณ เดือนธันวาคม 2564 หนี้สินของบริษัทไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนรวมกันทั้งสิ้น 817 ล้านบาท ในจำนวนนี้ถือเป็นหนี้สินที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้สินทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวน 335 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเทียบกับหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 41%
สภาพคล่องบริหารจัดการได้
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม โดย ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินระยะยาวที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจำนวนทั้งสิ้น 483 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนมิถุนายน 2565 จำนวน 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะทดแทนหุ้นกู้ดังกล่าวด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องได้แก่วงเงินธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ เงินสด และเงินลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนรวมกันทั้งสิ้น 537 ล้านบาท
หุ้นกู้ของบริษัทกำหนดให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไว้ไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าว ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 0.5 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงประมาณการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ในช่วง 1.7-2 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567
- EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 20%
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ 260 ล้านบาทตลอดช่วงประมาณการ
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปของบริษัทเอาไว้ได้ โครงการลงทุนใหม่ๆ จะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจจำนวนมากในช่วงหลายปีข้างหน้า ขณะที่กำไรและระดับหนี้สินของบริษัทจะสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะอันใกล้ แต่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มขนาดของฐานกำไรได้อย่างมีสาระสำคัญ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ธุรกิจพลังงานของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากและได้รับผลตอบแทนที่ดีจากโครงการลงทุนใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากกำไรของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือ สถานะทางการเงินถดถอยลงอย่างมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) (UAC)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html