- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 14 March 2022 08:35
- Hits: 7180
ฟิทช์ คงอันดับเครดิต บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
ฟิทช์ เรทติ้งส์ – กรุงเทพฯ – 8 มีนาคม 2565: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC ที่ ‘A(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘A(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของบริษัทฯ ที่ ‘F1(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของ SCCC ในฐานะผู้ผลิตปูนซีเมนต์ชั้นนำในระดับภูมิภาค ซึ่งมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในประเทศที่เป็นตลาดหลัก แต่มีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็ก โดย SCCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยและเวียดนามตอนใต้ และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศศรีลังกา ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดสุทธิ (Free cash flow, FCF) เป็นบวก แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนเพิ่มสูงขึ้น และเผชิญความกดดันจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นในระยะสั้นนี้
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การฟื้นตัวของ EBITDA อย่างค่อยเป็นค่อยไป – ฟิทช์คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะคงอยู่ในระดับเดิมที่ 7.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565 เนื่องจากมีแรงกดดันทางด้านต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566 เมื่อต้นทุนการผลิตลดลงประกอบกับความต้องการซื้อสินค้าปรับตัวดีขึ้น
ฟิทช์ ประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้ของ SCCC อยู่ที่ร้อยละ 6-8 ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า โดยเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดจากมาตรการสกัดกั้นการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในแต่ละประเทศจะลดลงหลังจากที่อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้น ฟิทช์คาดว่า ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA margin) จะยังคงถูกกดดันให้อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 17 ในปี 2565 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18 ในปี 2566 (ร้อยละ 18 ในปี 2564 และร้อยละ 22 ในปี 2563)
ฟิทช์ เชื่อว่า อัตรากำไรของ SCCC จะยังคงได้รับประโยชน์จากมาตรการการลดต้นทุนต่างๆ ของบริษัทฯ เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งในด้านราคาและปริมาณสำหรับวัตถุดิบหลัก การบริหารต้นทุนคงที่ การลดสัดส่วนการใช้ปูนเม็ด และการใช้พลังงานทดแทน
การฟื้นตัวที่แตกต่างกันในแต่ละตลาด – กระแสเงินสดส่วนใหญ่ของ SCCC มาจากประเทศไทย ในขณะที่สัดส่วน EBITDA จากประเทศเวียดนามและศรีลังกาคิดเป็นร้อยละ 16 และ 14 ของ EBITDA รวมในปี 2564 ตามลำดับ ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการในประเทศไทยจะยังคงเปราะบางจากกิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนที่ยังคงจำกัด โดยความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศยังต้องพึ่งพิงการลงทุนภาครัฐเป็นหลักในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ความต้องการซื้อสะสมในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศเวียดนามน่าจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกระแสเงินสดของบริษัทฯ เนื่องจากประเทศเวียดนามได้ยกเลิกมาตรการ Zero-COVID 19
ในประเทศศรีลังกา SCCC มีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเป็นผู้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อปูนซีเมนต์ที่ผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญสภาวะขาดแคลนปูนซีเมนต์นำเข้าและสถานะการเงินระหว่างประเทศที่อ่อนแอ ฟิทช์ เห็นว่า ความเสี่ยงที่ประเทศศรีลังกาจะออกมาตรการห้ามนำเข้าปูนเม็ดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากปูนเม็ดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต่อกิจกรรมการก่อสร้างภายในประเทศ
ธุรกิจมีความอ่อนไหวต่อราคาพลังงาน – EBITDA margin ของ SCCC มีความอ่อนไหวต่อระดับราคาพลังงาน โดยเฉพาะราคาถ่านหินและค่าไฟฟ้า ต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้าโดยทั่วไปมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
ฟิทช์ คาดว่า ราคาถ่านหินจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2565 จากการเสียสมดุลของอุปสงค์-อุปทานในตลาด ถึงแม้ว่าระดับราคาโดยเฉลี่ยอาจจะลดลงจากปี 2564 ก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประมาณร้อยละ 50-60 ของปริมาณการใช้ถ่านหินที่คาดว่าจะต้องใช้ทั้งหมดในปี 2565 โดยร้อยละ 30-40 เป็นการกำหนดราคาล่วงหน้ากับผู้ขาย
อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลง – ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สิน โดยพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA (net debt / EBITDA) ของ SCCC จะคงอยู่ที่ระดับเดิมที่ประมาณร้อยละ 2.0 เท่า ณ สิ้นปี 2565 เป็นผลมาจากแรงกดดันทางด้านต้นทุนพลังงาน ในขณะที่การฟื้นตัวของความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินน่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า ณ สิ้นปี 2566 และประมาณ 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดสุทธิที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ SCCC ยังคงมีความสามารถที่จะรองรับแผนการใช้จ่ายลงทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากที่ฟิทช์ประมาณการ โดยที่ยังรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ แผนการลงทุนเพิ่มเติมที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย แผนการลดสัดส่วนการใช้ปูนเม็ดในกระบวนการผลิต และการขยายกำลังการผลิต ซึ่งขณะนี้ฟิทช์ไม่ได้พิจารณารวมเข้ามาในประมาณการ เนื่องจากเป็นโครงการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติ
สถานะทางการตลาดและการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ – SCCC เป็นบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้ได้ในช่วงที่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดและมีการแข่งขันภายในประเทศที่รุนแรงขึ้น ด้วยชื่อเสียงของตราสินค้าของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้า นอกจากนี้ SCCC ยังเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดและผู้ผลิตปูนเม็ดเพียงรายเดียวในประเทศศรีลังกา และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเวียดนามตอนใต้ โดยรายได้จากต่างประเทศ (รวมรายได้จากการส่งออก) คิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
SCCC มีสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC (อันดับเครดิตปัจจุบัน ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศเช่นเดียวกัน เนื่องจาก SCC เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และทางธุรกิจที่มากกว่า สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าของ SCC ส่งผลให้ SCC ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC หนึ่งอันดับ แม้ว่า SCCC จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า
SCCC มีอันดับเครดิตในระดับเดียวกับสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a(tha)) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีอันดับเครดิตสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศไทย
SCCC มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อ่อนไหวต่อวัฏจักรขาลงทางเศรษฐกิจมากกว่า SCGP และ GPSC เนื่องจาก SCCC มีธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ SCGP ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมที่ความต้องการซื้อจากลูกค้ามีความสม่ำเสมอมากกว่า และมีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้มากกว่า SCCC ดังนั้น SCGP จึงสามารถรองรับอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า SCCC ได้ในอันดับเครดิตระดับเดียวกัน GPSC มีการอัตราส่วนหนี้สินสูงขึ้นมากหลังจากการลงทุนเข้าซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของ SCCC หนึ่งอันดับ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-8 ต่อปี ในปี 2565-2567 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการปรับขึ้นราคาขายและการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในทุกประเทศ (2564: ลดลงร้อยละ 1)
- EBITDA margin ลดลงจากระดับที่สูงในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ ร้อยละ 17-19 ในปี 2565-2567 จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
- ค่าใช้จ่ายลงทุนรวม 5.5 พันล้านบาท ในปี 2565-2567
- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) อยู่ในระดับร้อยละ 75-85
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจาก SCCC มีขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า
ปัจจัยลบ:
- การที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการมีค่าใช้จ่ายลงทุนโดยใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ในระดับสูง รวมถึงการจ่ายเงินปันผลจำนวนมาก ส่งผลให้ net debt / EBITDA อยู่ในระดับสูงกว่า 2.3 เท่า อย่างต่อเนื่อง (2564: 2.1 เท่า) หรือ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่า (2564: 2.3 เท่า) อย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดี: SCCC มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นับจาก สิ้นปี 2564 จำนวน 1.0 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้นและเงินกู้ภายใต้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ใช้สำหรับบริหารเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 3.0 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวจำนวน 7.0 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้ชำระคืนเมื่อครบกำหนดแล้วในเดือน กุมภาพันธ์ 2565 สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 9.7 พันล้านบาท
และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินประเภทไม่สามารถยกเลิกได้ (Committed credit facilities) จำนวน 9.8 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีประวัติในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบริษัทฯ มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ใหม่ผ่านตลาดทุนและสถาบันการเงิน
ข้อมูลบริษัท
SCCC ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศศรีลังกา และผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย และเวียดนามตอนใต้ โดยมีกำลังการผลิตรวม 25.3 ล้านตันต่อปี บริษัทฯ มี EBITDA อยู่ที่ระดับ 7.0-9.0 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2562-2564 นอกจากนี้ SCCC ยังมีหุ้นร้อยละ 40 ในกิจการร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 2.1 ล้านตันต่อปี
ติดต่อ
Primary Analyst
ณิชยา สีมานนทปริญญา
Director
+662 108 0161
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
Secondary Analyst
สมฤดี ไชยวรรัตน์
Director
+662 108 0160
Committee Chairperson
Hasira De Silva, CFA
Senior Director
+65 6796 7240
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com