- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 21 November 2021 21:19
- Hits: 11345
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.ไทยเบฟเวอเรจ’ที่ ‘AA’แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘AA’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะผู้นำของบริษัทในตลาดเครื่องดื่มในภูมิภาคจากการที่บริษัทมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวางและมีการสร้างกระแสเงินสดที่ยืดหยุ่น อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการแสดงความตั้งใจอย่างจริงจังของบริษัทที่จะปรับลดภาระหนี้ลง
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัท ตลอดจนสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง กฎระเบียบที่เข้มงวด และการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยที่มีบ่อยครั้ง
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่คาดว่าจะฟื้นตัว
ในปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะลดลง 4% เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2564 ทั้งนี้ ทั้งรัฐบาลไทยและเวียดนามได้ดำเนินมาตรการปิดเมืองอย่างเข้มงวดรวมถึงการปิดร้านอาหารและบาร์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศเมียนมายังส่งผลกระทบต่อยอดขายเหล้าในประเทศเมียนมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวประมาณ 4%-6% ในปีงบประมาณ 2565 และปีงบประมาณ 2566 หลังจากประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยและเวียดนามเริ่มดำเนินนโยบายในการกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติและอยู่ร่วมกับโรคโควิด 19 จากสถานการณ์ที่ดีขึ้นของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รัฐบาลไทยเริ่มค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยไม่ต้องมีการกักตัว ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการดำเนินตามมาตรการนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของบริษัท
ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 19% ในปีงบประมาณ 2564 เมื่อเทียบกับระดับ 18% ในปีงบประมาณ 2563 โดยอัตรากำไรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุมในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายโฆษณาและการส่งเสริมการขาย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะปรับตัวต่ำกว่า 19% ในปีงบประมาณ 2565 ถึงปีงบประมาณ 2566 เนื่องจากบริษัทจะกลับมาใช้ค่าใช้จ่ายโฆษณาและการส่งเสริมการขายตามปกติเพื่อกระตุ้นยอดขาย
มีสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็ง สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น
บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในทุกที่ที่บริษัทเข้าไปดำเนินงาน สำหรับในประเทศไทยนั้น บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานาน โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามปริมาณการจำหน่ายสุรามากกว่า 90% และเบียร์เกือบ 40% นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่มและน้ำดื่ม
อีกทั้ง ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายสำคัญในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ อีกด้วย สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น Sabeco เป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนามซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35%-40% ในขณะที่ Grand Royal Group (GRG) ก็เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล้าวิสกี้รายใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมาซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 70% ทริสเรทติ้ง เชื่อว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะที่แข็งแกร่งทางการตลาดเอาไว้ได้จากการมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งและเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง
สถานะทางธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการขยายธุรกิจไปในประเทศเวียดนามและเมียนมาซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดภายในประเทศลงได้ เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศเมียนมาและเวียดนามยังไม่อิ่มตัวเมื่อเทียบกับประเทศไทย ดังนั้น ทริสเรทติ้ง ยังคงเชื่อว่ารายได้จากต่างประเทศจะมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่ารายได้ในประเทศแม้ว่าความเสี่ยงด้านกฎระเบียบอาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายในต่างประเทศ
มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง
บริษัทได้สร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวางซึ่งครอบคลุมร้านค้าปลีกในประเทศไทยมากกว่า 400,000 ร้าน โดยมีศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 4 แห่งและมีรถขนส่งสินค้าจำนวน 7,000 คัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีช่องทางจำหน่ายผ่านตัวแทนที่มีประสิทธิภาพอีกประมาณ 300 รายและมีพนักงานขายมากกว่า 1,700 คน อีกทั้งยังขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนผ่านบริษัทในเครือที่สำคัญๆ ด้วย อาทิ Fraser and Neave Ltd. (F&N) ซึ่งมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดของตนเองในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ส่วนการซื้อกิจการล่าสุดคือ Sabeco และกลุ่ม GRG นั้นก็ช่วยเพิ่มเครือข่ายในการกระจายสินค้าในประเทศเมียนมาและเวียดนาม
กฎระเบียบภาครัฐจำกัดการเติบโตในประเทศ
การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการควบคุมดูแลที่เข้มงวดของภาครัฐโดยมีกฎระเบียบต่าง ๆ อาทิ การจำกัดการโฆษณาและการทำกิจกรรมทางการตลาด การกำหนดเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น กฎระเบียบดังกล่าวทำให้การเพิ่มยอดขายและการทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ กระทำได้ยากแม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างมากก็ตาม
นอกจากนี้ การเก็บภาษีสรรพสามิตยังเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย โดยภาครัฐมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตค่อนข้างบ่อย ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการขึ้นภาษีสรรพสามิตถึง 5 ครั้ง ในอดีตนั้นบริษัทสามารถรักษาอัตราการทำกำไรโดยการส่งผ่านภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายลดลงชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาที่อยู่ในระดับต่ำ อัตราการทำกำไรหรือปริมาณการจำหน่ายของบริษัทจึงมีโอกาสที่จะสูงมากกว่าระดับในปัจจุบันหากมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตที่ไม่บ่อยเกินไป ส่วนในประเทศเวียดนามนั้น รัฐบาลเวียดนามได้มีการบังคับใช้ฎหมายห้ามขับรถขณะมึนเมาฉบับใหม่ที่มีบทลงโทษรุนแรง
โดยการบังคับใช้กฎหมายใหม่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับการดื่มนอกบ้าน บริษัทเชื่อว่าการบริโภคแอลกอฮอล์ในประเทศเวียดนามจะค่อยๆ ฟื้นตัวเนื่องจากผู้บริโภคจะปรับพฤติกรรมการบริโภคให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่
คาดว่าภาระหนี้จะลดลง
ทริสเรทติ้ง คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อยๆ ลดลงในช่วง 3 ปี ข้างหน้า ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทค่อยๆ ลดลงจาก 2.057 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2562 เป็น 1.942 แสนล้านบาทในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับระหว่าง 1.6-1.7 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2566
และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2566 เมื่อเทียบกับระดับ 4.6 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากผู้บริหารของบริษัทได้แสดงถึงความตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำการลดภาระหนี้ลง
ภายใต้สมมติฐานดังกล่าว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทค่อยๆ ลดลงสู่ระดับประมาณ 3.4 เท่าในปีงบประมาณ 2566 นอกจากนี้ บริษัทอาจจะสามารถลดภาระหนี้ได้เร็วกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งหากบริษัทประสบความสำเร็จของแผนการปรับมูลค่าสุทธิของกิจการ (Enterprise Value)
สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
บริษัทมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดจำนวน 3.61 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ในขณะเดียวกัน บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ไม่มีข้อผูกมัดจากสถาบันการเงินต่างๆ อีกประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทยังได้ออกหุ้นกู้จำนวน 4.0 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้ชั่วคราว เมื่อรวมสภาพคล่องทั้งหมดของบริษัทแล้วคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้และการลงทุนของบริษัทในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีภาระหนี้สินระยะยาวที่จะต้องชำระประมาณ 5.0 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ บริษัทมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 2.7 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนในการใช้งบลงทุนไว้ที่จำนวนประมาณ 7.1 พันล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 อีกด้วย
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 3 เท่า
ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนเป็นจำนวน 963 ล้านบาท โดยหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนเป็นหนี้ที่ไม่มีการค้ำประกันในบริษัทย่อย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมเพียง 0.4% ซึ่งต่ำกว่าระดับเพดานที่ 50% ทริสเรทติ้ง จึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปีงบประมาณ 2564-2566 ดังต่อไปนี้
- รายได้จะลดลงประมาณ 4% ในปีงบประมาณ 2564 และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4%-6% ระหว่างปีงบประมาณ 2565-2566
- อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 18%-19%
- งบประมาณการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 4-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วงประมาณการ
- อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับ 3.4 เท่าในปีงบประมาณ 2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถลดภาระหนี้ลงได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า บริษัทจะยังคงดำรงสถานะผู้นำทั้งในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศและตลาดหลัก 2-3 แห่งนอกประเทศไทยได้ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับลดต่ำกว่า 2 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะไม่สามารถลดภาระหนี้ได้ตามเป้าหมายและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับเกินกว่า 3.5 เท่าเป็นเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
TBEV233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA |
TBEV243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA |
TBEV244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA |
TBEV253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA |
TBEV283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 14,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
AA |
TBEV293A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
AA |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ