- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Saturday, 25 September 2021 21:48
- Hits: 17794
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ ที่ ‘BBB+’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานรายได้และกำไรที่มีขนาดค่อนข้างเล็กรวมถึงประเภทของสินค้าและระดับราคาที่มีจำกัด
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่น่าพอใจจากรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและสามารถคงอัตรากำไรที่อยู่ในระดับสูง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ที่ค่อนข้างต่ำ และความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์ของที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ฐานรายได้มีขนาดเล็กรวมถึงการกระจุกตัวของสินค้า
ทริสเรทติ้ง มองว่า บริษัทมีฐานรายได้ค่อนข้างเล็กเทียบบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยรายได้ของบริษัทในปี 2563 อยู่อันดับที่ 14 จาก 23 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้ง รายได้ของบริษัทในปี 2563 อยู่ที่ 5.75 พันล้านบาท คิดเป็น 2% ของรายได้ทั้งหมดของทั้ง 23 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต
สินค้าของบริษัทค่อนข้างกระจุกตัวในตลาดระดับราคากลางถึงต่ำ บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ได้แก่ บ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดภายใต้แบรนด์ ‘LANCIO’ ที่ระดับราคา 3-6 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์’LIO’ ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท แม้ว่าฐานลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นตลาดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่กำลังซื้อของตลาดกลุ่มนี้ค่อนข้างจำกัดและมีความอ่อนไหวต่อราคา และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารก็มีค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้เปิดแบรนด์ ‘บ้านลลิล The Prestige’ สำหรับ บ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดภายใต้ระดับราคา 5-8 ล้านบาท เพื่อขยายสินค้าของบริษัทไปยังตลาดระดับราคาสูงขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร
ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 73 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมทั้งหมด (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังไม่ได้ก่อสร้าง) ประมาณ 2.32 หมื่นล้านบาท สินค้าสำคัญของบริษัท ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ โดยรายได้ของทาวน์เฮ้าส์คิดเป็น 60% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563 และในครึ่งปีแรกของปี 2464
คาดผลการดำเนินงานยังคงน่าพอใจ
แม้จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงน่าพอใจ ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับเดียวกับปีก่อนหน้าเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 3 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้าย ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6-6.3 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566 หรือเติบโต 5% ต่อปีอ้างอิงจากแผนของบริษัทที่จะเปิดโครงการใหม่จำนวน 9-11 โครงการมูลค่า 6-7 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แม้อุปสงค์จะชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยังคงยืดเยื้อ แต่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 29% ในปี 2563 และในครึ่งปีแรกของปี 2464 ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจไปอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้าง และไม่มีความกดดันในการเร่งระบายสินค้าที่สร้างเสร็จ
ดังนั้น ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า บริษัทจะสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในช่วง 38%-39% ในช่วงปีประมาณการ ทริสเรทติ้งมองว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทอาจสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทควรที่จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ระดับ 14%-16% ของรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.5-1.6 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2566 ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า บริษัทจะสามารถคงอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอย่างน้อยที่ระดับ 25% และอัตรากำไรสุทธิเกินกว่า 18% ในช่วงปีประมาณการ
ภาระหนี้ต่ำ
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถคงนโยบายทางการเงินได้อย่างระมัดระวัง ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเนื่องจากบริษัทเน้นการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่าโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 31% ในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนงินทุนโดยเฉลี่ยของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 23 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต
โดยทริสเรทติ้งอยู่ที่ระดับ 52% ในปี 2563 อัตราส่วนนี้ของบริษัทอยู่ที่ 28% ณ เดือนมิถุนายน 2564 ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน บริษัทมีแผนเปิดโครงการแนวราบมูลค่า 6-7 พันล้านบาทต่อปีในปี 2564-2566 ทริสเรทติ้งประมาณการงบประมาณในการซื้อที่ประมาณ 1.2-1.5 พันล้านบาทต่อปี และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 35% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ในช่วงปี 2564-2566
ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมจำนวน 3.23 พันล้านบาทซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 3 ล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมจึงมีสัดส่วนอยู่ที่ 0.1% เนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวน้อยกว่า 50% ตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งเห็นว่าเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกันไม่เสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญจากลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์
สภาพคล่องเพียงพอ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอจะคืนหนี้จนถึงสิ้นปี 2565 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจากเดือนกรกฏาคม 2564 ถึงเดือนธันวาคม 2565 จำนวน 1.48 พันล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 1.33 พันล้านบาท ตั๋วแลกเงินจำนวน 150 ล้านบาท และที่เหลือคือเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน บริษัทได้ชำระหุ้นกู้จำนวน 400 ล้านบาท ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนสิงหาคม 2564 ด้วยหุ้นกู้ใหม่อายุ 3 ปี ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 312 ล้านบาท เงินลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จำนวน 700 ล้านบาท และวงเงินจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 2.54 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้ง คาดว่า เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี แหล่งเงินทุนที่กล่าวมานี้น่าจะเพียงพอครอบคลุมภาระหนี้ที่ต้องชำระในช่วง 18 เดือนข้างหน้าแม้ว่าบริษัทจะไม่สามารถออกหุ้นกู้หรือตั๋วแลกเงินมาทดแทน ทริสเรทติ้ง คาดว่ากระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับ 32%-34% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับ 13 เท่า
ตามข้อกำหนดทางการเงินที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.4 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บริษัทน่าจะไม่มีปัญหาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวในช่วง 18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้ง ประมาณการการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2564-2566 ดังนี้
- บริษัทเปิดโครงการใหม่มูลค่า 6-7 พันล้านบาทต่อปี
- งบประมาณในการซื้อที่ดินจำนวน 1.2-1.5 พันล้านบาทต่อปี
- รายได้ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 5.7 พันล้านบาท และเติบโตไปที่ระดับ 6-6.3 พันล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถทำผลการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายและสามารถคงนโยบายทางการเงินได้อย่างระมัดระวัง แม้การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยังคงยืดเยื้อส่งผลให้อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวเป็นระยะเวลานาน แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะคงความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าพอใจและคงภาระหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำได้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะคงอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอย่างน้อยที่ระดับ 25% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 35% ในช่วงปีประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอ่อนแอลงในอนาคต ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถขยายฐานรายได้และผลกำไรในขณะที่ยังคงนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวัง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
|
|
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ