- Details
- Category: บล.
- Published: Monday, 18 August 2014 19:07
- Hits: 3223
ASP คาดกำไรสุทธิปีนี้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 670 ลบ. หลังวอลุ่มตลาดฟื้น - ธุรกิจ IB หนุน
ASP คาดกำไรสุทธิปีนี้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 670 ลบ. หลังวอลุ่มตลาดฟื้น - ธุรกิจ IB หนุน เผยมี 22 ดีลในมือ พร้อมระบุแผนปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งแล้วเสร็จต้น Q2/58 ขณะที่มองเงินทุนต่างชาติไหลเข้าจำกัด เหตุ P/E ปัจจุบันที่ 14-15 เท่า เริ่มแพง - สหรัฐมีแนวโน้มขึ้น ดบ. เร็วกว่าคาด
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 670 ล้านบาท หลังจากมูลค่าาการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน หลังจากปัญหาการเมืองคลี่คลายทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจเข้ามาช่วยเสริมเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจแตะระดับ 25% สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้ง ขณะที่ยังมีดีลเหลือดีลในมือที่เซ็นสัญญาแล้วเหลืออีก 22 รายการ แบ่งเป็น IPO 10 บริษัท ส่วนที่เหลือเป็นงานด้านที่ปรึกษาทางการเงินอื่นๆ และ M&A
ทั้งนี้ ประเมินว่ารายได้และกำไรสุทธิไตรมาส 3 จะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่มีรายได้ 762 ล้านบาท กำไรสุทธิ 255 ล้านบาท เป็นไปตามปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและที่สำคัญในไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ปัญหาการเมืองสงบเต็มไตรมาส
"รายได้และกำไรปีนี้หากเทียบกับปีที่ผ่านมาคงจะต่ำกว่า เพราะในปีก่อนวอลุ่มถือว่าสูงมากผิดปกติขึ้นไปถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งหากจะเทียบในสถานการณ์ปกติต้องเทียบกับผลประกอบการปี 2555 ที่มีรายได้ 2,082 ล้านบาท กำไรสุทธิ 603 ล้านบาท โดยเรามั่นใจว่าปีนี้จะมากกว่าผลประกอบการปี 2555 อย่างแน่นอน เพราะเราได้มีการปรับแผนทางธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะการที่เกิดขึ้น โดยมีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจอื่นๆมากขึ้น ปัจจุบันรายได้จากธุรกิจโบรกเกอร์เหลือเพียง 46% เท่านั้น จากปีก่อนที่อยู่ระดับกว่า 60% ซึ่งได้มีการเน้นไปที่ธุรกิจ IB สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% จากปีก่อน 11% รวมไปถึงด้านการลงทุนอื่นๆ ของบริษัทฯที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ASP อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจให้เป็น Holding Company คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในช่วงต้นไตรมาส 2/58 เพื่อความคล่องตัวในการกระจายการลงทุนและเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯไม่ต้องการยึดติดจากรายได้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวเพราะมีความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทฯได้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการดำเนินงานลักษณะโฮลดิ้งอยู่แล้ว โดยได้มีการกระจายรายได้ไปยัง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สัดส่วน 46% ธุรกิจวาณิชธนกิจ 25% ธุรกิจการลงทุน 18% ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ 11% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ
ดร.ก้องเกียรติ คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในวงเงินจำกัด เนื่องจากระดับ P/E ปัจจุบันที่ 14-15 เท่า ถือว่าเริ่มแพง เทียบกับตลาดในภูมิภาค ประกอบกับแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ซึ่งอาจจะทำให้เม็ดเงินไหลกลับไปที่สหรัฐฯได้ ขณะที่โครงการต่างๆจากทางภาครัฐยังเป็นเพียงนโยบายยังไม่มีการเริ่มปฏิบัติ ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนยังคงรอดูความชัดเจนก่อน
ทั้งนี้ คาดจีดีพีปีนี้จะเติบโตได้ที่ระดับ 2% ปีหน้า 4-5% โดยคาดหวังว่าตัวเลขการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวจะเข้ามาสนับสนุนในช่วงที่เหลือของปี
ส่วนมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นให้เลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีและกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม โดยให้จับตาผลประกอบการบจ.ในไตรมาส 3 ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุด หากออกมาดีจะทำให้ P/E ของตลาดหุ้นไทยลดลง และทำให้มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยกลับอยู่ในระดับที่น่าสนใจอีกครั้ง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย