WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRINI copyทรีนีตี้ ประเมิน SET เดือนสิงหาปรับตัวไซต์เวย์ จับตาบอนด์ยิลด์ประเทศพัฒนาชี้นำทิศทางฟันด์โฟลว์ระยะสั้น

   'ทรีนีตี้'เผยบทวิเคราะห์ประเมินความเคลื่อนไหวดัชนี SET เดือนสิงหาคมเริ่มไซต์เวย์ในกรอบ 1470 - 1550 จุด แนะจับตาผลตอบแทนตลาดพันธบัตรในประเทศพัฒนาแล้วอาจเป็นตัวชี้นำทิศทางเงินทุนต่างประเทศในระยะสั้น แนะนำกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคาปรับตัวขึ้นไม่มาก เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สายการบิน และยานยนต์

     ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในเดือนสิงหาคม โดยคาดว่าดัชนีจะเริ่มลดความร้อนแรงลงและจะปรับตัว Sideways ในกรอบ 1470 - 1550 จุด โดยกรอบบนที่ระดับ 1550 จุดนั้นคำนวณจากโมเดล Earning yield gap อิงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีที่ 1.45% ส่วนกรอบล่างของดัชนีที่ระดับ 1470 จุด คำนวณจากต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้ที่เข้าซื้อหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา

     ทั้งนี้ SET Index ปรับตัวขึ้นมาตามคาดในเดือนกรกฎาคมหลังได้รับปัจจัยบวกเชิงสภาพคล่องนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ Brexit  กล่าวคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศพัฒนาแล้วที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ และทำให้นักลงทุนต่างชาติโยกย้ายเงินลงทุนบางส่วนจากตลาดบอนด์เข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ ทั้งนี้ในเดือนกรกฎาคมนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 44,000 ล้านบาท มากกว่าที่ซื้อสุทธิตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้รวมกันเสียอีก

    อย่างไรก็ดี คาดว่าปัจจัยผลักดันเชิงสภาพคล่องในเดือนนี้จะเริ่มลดลงหลังผ่านพ้นการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป เนื่องจากไม่น่าจะได้เห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางหลักอื่นๆอีก (Fed, ECB, BoJ) จนกระทั่งช่วงปลายเดือนกันยายนซึ่งจะมีการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ครั้งถัดไป สำหรับปัจจัยที่น่าสนใจที่ต้องติดตามในเดือนนี้ได้แก่

    1) การประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันที่ 4 สิงหาคม ล่าสุดตลาดคาดการณ์ว่าจะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 0.25% จาก 0.50% ซึ่งถ้าหากออกมาเป็นเช่นนี้จริงมองผลกระทบไม่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดีหาก BoE มีมติขยายวงเงินเป้าหมายโครงการ QE จากเดิมที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ มองจะเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องทั่วโลก

          2) กระแสทุนต่างชาติในเดือนนี้ที่น่าจะมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับ Bond yield ของประเทศพัฒนาแล้ว

          3) ปัจจัยการเมืองในประเทศที่อาจเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในช่วงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่วันที่ 7 สิงหาคม

          4) รายงานเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันที่ 5 สิงหาคม และรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ครั้งที่ผ่านมาในวันที่ 17 สิงหาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไปยังคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และระดับ Bond yield ในท้ายที่สุด

          สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้แนะนำขึ้นขาย-ลงซื้อในกรอบดัชนี 1470 - 1550 จุด แนะนำโฟกัสการลงทุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคาปรับตัวขึ้นไม่มาก เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สายการบิน และยานยนต์ โดยมีหุ้นแนะนำ ได้แก่ AP, QH, BA, SAT

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

  

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!