- Details
- Category: บล.
- Published: Thursday, 05 March 2015 22:52
- Hits: 2168
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองตลาดหุ้น 3 เดือนข้างหน้าผันผวน ชี้หากดัชนีทะลุ 1,650 จุดถือว่าแพง
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองตลาดหุ้น 3 เดือนข้างหน้าผันผวน ชี้หากดัชนีทะลุ 1,650 จุดถือว่าแพง คาด ดัชนีเดือน มี.ค.แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,620-1,650จุด คาดกำไร บจ.ปีนี้โต 31% ฟื้นตัวจากปี 57 ที่ติดลบ 12%
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย 3 เดือนข้างหน้าจะมีลักษณะผันผวน จากปัจจัยภายนอก ที่มีความเสี่ยงจากสหรัฐฯจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่จะมีปัจจัยบวกภายในประเทศ คือ นโยบายของภาครัฐจะเดินหน้าลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลที่จะเข้ามาหนุน จึงทำให้ 3 เดือนข้างหน้าดัชนีมีโอกาสขึ้นและปรับตัวลดลงจากปัจจัยหลักๆใน 2 เรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ หากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 1,650 จุด ถือว่าเป็นระดับที่แพง เพราะมี P/E ที่ 16 เท่า การที่มองว่าตลาดหุ้นแพงไปแล้วถือว่าสมเหตุสมผล แต่หากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1,520-1,570 จุด ถือว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปลงทุน
ดัชนี ตลาดหุ้นไทยในเดือน มี.ค.2558 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,620-1,650 จุด เนื่องจากปัจจัยต่างประเทศมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง และจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มมาตรการ QE ซึ่งจะส่งผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ และความคืบหน้าของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 1/58 ถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดต่อการลงทุนของปีนี้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ส่วนแนวโน้มดัชนีในช่วงไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเริ่มมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ยังคงส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุน แม้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.ก็ตาม
"ส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 1/58 เป็นช่วงที่ตลาดปรับตัวดีที่สุด ขณะที่มองว่าไตรมาส 2 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลง จากปัจจัยเรื่องกระแสที่สหรัฐฯจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยเดือน มิ.ย.ก็ตาม ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะมาจากเงื่อนไขของภาครัฐที่จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จากปัจจัยพื้นฐานของเรายังไม่สามารถที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง และหาก Q2 ไม่ลงทุนทำให้กำไรในอนาคตของบจ.ไม่สามารถที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยต่างประเทศมีมุมมองที่แย่ต่อตลาดหุ้นไทย คือเรื่องที่โครงการรัฐไม่ออก" นายสุกิจ กล่าว
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปี 2558 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% ฟื้นตัวจากปี 2557 ที่คาดว่ากำไรลดลง 12% เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีผลขาดทุนเกือบ 7 หมื่นล้านบาท จากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ถือว่าไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะไม่ได้เกิดจากผลขาดทุนจากธุรกิจหลัก แต่เป็นผลมาจากเรื่องของสินค้าคงคลัง
ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของ บจ.ปีนี้ คาดอยู่ที่ 104 บาท/หุ้น หากดัชนีอยู่ที่ระดับ 1550 จะมีค่า P/E ที่ 15 เท่า ซึ่งถือว่าไม่ถูกแต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการฟื้นตัว ซึ่งถือว่าเป็น P/E ที่ไม่แพง แต่หากโครงการภาครัฐเดินหน้าลงทุนจะทำให้บจ.มีกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้ P/E ปรับตัวลดลงมาได้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย