- Details
- Category: บล.
- Published: Monday, 09 February 2015 19:44
- Hits: 3555
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ปลื้ม ปี 57 โกยรายได้ 4,434 ลบ. ตั้งเป้าปี 58 เติบโตไม่ต่ากว่า 15% พร้อมก้าวสู่การครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื องเป็นปีที 14
หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แข็งแกร่ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื อง ขึ้นเป็นปีที 13 พร้อมเดินหน้าให้บริการทางด้านการลงทุน และหลักทรัพย์ที หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ ให้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั นคง มุ่งขยายฐานลูกค้าและรักษามาร์เก็ตแชร์ครบทุกกลุ่ม ตั้งเป้าเติบโต 15 % ในปี 2558
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่าเป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือการก้าวสู่ความเป็นผู้นาในระดับภูมิภาคอาเซียน บริษัทฯ จึงมีแผนธุรกิจที่จะพัฒนาในหลากหลายทั้งทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ โดยในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทารายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 4,434.65 ล้านบาท และมีกาไรสูงถึง 1,252.49 ล้านบาท ถึงแม้ภาพรวมในปีที่ผ่านมาจะมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องจากผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ก็ถือได้ว่าภาพรวมรายได้และกาไรก็ยังเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมของอุตสาหกรรม โดยความสาเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 71% ดอกเบี้ยรับ 21 % วาณิชธนกิจ 5 % อื่นๆ 3% ตามลาดับ
ปัจจุบันหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งการตลาด ของปี 2557 สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2557 อยู่ที่ประมาณ 10.56% ซึ่งเป็นการเฉลี่ยถ่วงน้าหนักของส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ 14.6 % นักลงทุนสถาบันในประเทศ 5.6% และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อีก 2.3 % สามารถคิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ ประมาณ 170,000 บัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่าเสมอประมาณ 50% และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มเป็น 195,000 บัญชี ในปีนี้ และด้วยการสนับสนุนของธนาคารระดับโลก อย่างธนาคารเมย์แบงก์ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็น โบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งทั้งโครงสร้าง การเงิน ตลอดจนครบครันในการให้บริการ อีกทั้งบริษัทฯ มีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทาให้ Credit Rating อยู่ที่ AA (TH) โดย ฟิตซ์ เรทติ้ง ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารชั้นนาของไทย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ด้านสถาบันในประเทศ บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 1 ใน 10 รายแรกของสถาบันในประเทศทั้งหมด ในขณะที่ด้านสถาบันต่างประเทศ การเข้ามาของเมย์แบงก์ทาให้งานด้านสถาบันเพิ่มมากขึ้น
ด้านสายงานวาณิชธนกิจ ที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็เดินหน้าไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยกาลังจะมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัท และมีกองทุน รวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ประมาณ 2-3 บริษัท และ กองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trust (REIT) 2-3 บริษัท โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มเมย์แบงก์มีการสนับสนุนงานด้าน Global Wholesale Banking ซึ่งมีความพร้อมและแข่งขันได้มากในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ ให้กับบริษัทชั้นนาของไทย ดังที่ได้ปล่อยสินเชื่อในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา เป็นมูลค่าสินเชื่อกว่า 40,000 ล้านบาท
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศนั้น บริษัทมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 14.6% เป็น 15 % ในปี 58 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มาอยู่ที่ระดับ 20% และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 บัญชี หรือ คิดเป็นร้อยละ 10
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะรุกธุรกิจด้วยการออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ครบถ้วน ครอบคลุม ตรงใจ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุน โดยในปี 58 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการหลายตัว อาทิ โปรแกรม Algo Trading ซึ่งประกอบไปด้วย โปรแกรม eZy Trade เป็น Algo ที่ไม่ซับซ้อนเหมาะสาหรับผู้ลงทุนมือใหม่, โปรแกรม MT5 เป็นโปรแกรมซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์สาหรับมืออาชีพ และ โปรแกรม I2Trade+ เป็นระบบส่งคาสั่งซื้อขายหุ้น แบบอัตโนมัติ ตามเงื่อนไขที่นักลงทุนกาหนดไว้ เหมาะสาหรับผู้ใช้งาน I2Trade อยู่แล้ว แต่จะเพิ่มฟังก์ชั่นการส่งคาสั่งซื้อขายแบบ Auto Trade เพิ่มขึ้น หลังจากการเปิดใช้ไปได้ไม่นาน โปรแกรม Algo Trading ก็ได้รับความนิยมและกาลังได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ออกโปรแกรม SSF Block trade ซึ่งเป็นบริการซื้อขายล็อตใหญ่ สาหรับ Single Stock Futures (SSF) ในตลาด TFEX โดยได้รับการอนุมัติวงเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 4,200 ลบ. จาก เมย์แบงก์ กรุ๊ป และยังร่วมเป็นผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) ให้กับผลิตภัณฑ์ในตลาด TFEX อีกด้วย
สาหรับ การขยายสาขานั้น บริษัทฯ ก็มีแผนขยายตามความต้องการของผู้ลงทุน แต่เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สามารถเข้าถึงการทาธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ท ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว บริษัทฯจึงมีแผนขยาย Kiosk แทนการเปิดสาขา เนื่องจากสามารถเข้าถึงนักลงทุนเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ปัจุบันเรามี Kiosk ที่เปิดให้บริการอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บนสถานีรถไฟฟ้า ช่องนนทรี , หมอชิต และศาลาแดง ซึ่งทั้ง 3 แห่งถือได้ว่าประสบความสาเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผู้สนใจเข้ามาขอความรู้ด้านการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นและการเริ่มต้นลงเป็นจานวนมากในแต่ละวัน อีกทั้งยังเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกด้วย
เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทฯ ได้ให้ความสาคัญกับการปรับปรุงระบบด้านเทคโนโลยีให้มีความทันสมัย รวดเร็ว มากขึ้น โดยการพัฒนาระบบ Internet Trading มุ่งเน้นการเชื่อมต่อที่รวดเร็วแต่มีเสถียรภาพ เพื่อรองรับธุรกรรมใหม่ๆ ในรูปแบบ Multi-market ที่รวมหลายๆตลาดเข้าด้วยกัน โดยเชื่อมต่อกับ เมย์แบงก์ กรุ๊ป ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงเรากับตลาดต่างประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเตรียมเปิดตัว Research Application on Smartphone ให้ลูกค้าได้เข้าถึงบทวิเคราะห์ที่ สด ใหม่ ทันเหตุการณ์ และไม่พลาดทุกข้อมูลที่สาคัญเกี่ยวกับการลงทุน ผ่าน Smartphone ได้ทุกที่ ทุกเวลา
สาหรับ แผนงานในอีก 3 ปี ข้างหน้า เมย์แบงก์ กิมเอ็งจะเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อมารองรองรับ Asset Class ที่หลากหลาย เช่น แผนการจัดตั้งฝ่าย Fixed Income เพื่อให้บริการสินค้าในตลาดตราสารหนี้ เช่น Bond ทั้งในและต่างประเทศ , ตั๋ว BE หรือ ELN (Equity-Linked Note) โดยจะเน้นในตลาดรอง รวมถึงเร่งพัฒนาระบบ Algo Trading ให้มีความเสถียร สามารถรองรับการใช้งานจากผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีแผนที่จะเร่งพัฒนาและเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่แนะนาการลงทุนหรือ IC ให้มีความรอบรู้ด้านการลงทุน มีความรู้ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีจรรยาบรรณที่ดีเป็นพื้นฐาน
“ตลอดระยะเวลาที ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ารายย่อยและสถาบันด้วยดีเสมอมา จากนี้ไปเราจะมุ่งมั นเสริมทัพธุรกิจให้แข็งแกร่งในทุกๆสายงาน ครอบคลุมครบทุกผลิตภัณฑ์ เดินหน้าให้ความรู้ และสร้างความเชื อมั นให้แก่นักลงทุน ซึ งจะเป็นการเปิดทางเลือกพร้อมกับโอกาสในการลงทุนที ดี และด้วยแผนงานทั้งหมดที ก่าหนดไว้ในปีนี้ เราเชื อมั นว่าจะช่วยสนับสนุนบทบาทของกลุ่มเมย์แบงก์ ในการก้าวขึ้นเป็นผู้น่าในภูมิภาค และสามารถรักษาบทบาทความเป็นผู้น่าของเมย์แบงก์กิมเอ็งในไทยได้อย่างแน่นอน และเชื อมั นว่าเป้าหมายการเติบโตของปี 58 กับเป้าหมายการเติบโต 15 % จะสามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน ” นางบุญพร กล่าวทิ้งท้าย
เกี่ยวกับเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการทางด้านการเงินที่กาลังขยายตัวไปทั่วโลก มีสานักงานในมาเลเชีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไทย ฟิลิปปินส์ อินเดีย เวียดนาม อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา / เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ดาเนินธุรกิจในเอเชียมามากกว่า 40 ปี โดยให้บริการทางการเงิน ทั้งตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุน อนุพันธ์ ให้บริการเป็นหน้านายค้าหลักทรัพย์ และจัดทาผลการวิจัยให้แก่ลูกค้ารายบุคคล รวมถึงลูกค้าสถาบัน เป็นผู้นาด้านบริการทางด้านการเงินในตลาดเอเชียที่ดาเนินธุรกิจอยู่ด้วยความแข็งแกร่ง อีกทั้งเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ยังได้รับรางวัลที่ทรงเกียรติทั้งในและต่างประเทศอีกมากมาย / เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นผู้นาด้านวานิชธนกิจ ของเมย์แบงก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธนาคารชั้นนาของเอเชียและ เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ / เมย์แบงก์ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน 20 ธนาคารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก 2 ปีต่อเนื่องในปี 2013 และ 2014 โดยบลูมเบิร์ค มีสาขาใน 20 ประเทศ และมีผู้ใช้บริการมากกว่า 22 ล้านคนทั่วโลก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
โทร. 02-658-6300 ต่อ 7401 – 7403 เปรียว (ศรุตา) 081-722-8870 PRiEW PR Maybank Kim Eng <081-722-8870>
MBKET ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์แตะ 15% ในปี 63 จากปีนี้ 11% เล็งทำ Prop.trade
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า (ปี 59-63) ส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปี 58 คาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 11% รักษาการอันดับ 1 โบรกเกอร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 จากปีก่อนลดลงไปเล็กน้อยอยู่ที่ 10.56% โดยเตรียมเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน(มาร์เก็ตติ้ง)อีก 200-300 คน จากปัจจุบันอยู่ที่ 790 คน
การเติบโตของมาร์เก็ตแชร์ในปี 63 มาจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศตั้งเป้าเพิ่มมาร์ก็ตแชร์เป็น 22% จากปีนี้ 15% กลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเป็น 5% จากปีนี้ 2.3% และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้าใกล้ 10% จาก 5% ในปีนี้ โดยบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าเป็นรายย่อย 60% สถาบันในประเทศ 10% และสถาบันต่างประเทศ 20% ที่เหลืออาจเป็น Prop. trade ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มี Prop. trade แต่อยู่ระหว่างการทบทวน เพราะต้องมีการวางระบบรองรับ โดยบริษัทจะเน้นในการลงทุนมากกว่าซื้อมาขายไป
สำหรับ แผนงานในปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 15% จากปีก่อนทำได้ราว 4,434 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) ที่ขณะนี้มีงานทีป่รึกษาทางการเงินเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป(IPO)ประมาณ 5-7 บริษัท และมีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอีก 2-3 ราย มีมูลค่าการระดมทุนทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ(M&A)ที่อยู่ระหว่างการเจรจาด้วย
"ปี 58 คาดวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันของบริษัทราว 10,000 ล้านบาท และปี 63 คาดเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท"นายมนตรี กล่าว
ปัจจุบัน MBKET มีบัญชีลูกค้า 1.7 แสนบัญชี เป็นบัญชีแอคทีฟราว 8 หมื่นบัญชี หรือ 50% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ราว 5% โดยบริษัทตั้งเป้าสิ้นปี 58 จะเพิ่มบัญชีลูกค้าทั้งหมดเป็น 1.95 แสนบัญชี ขณะที่รายได้หลักมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 71% ดอกเบี้ยรับ 21% และ IB ราว 5% ที่เหลือเป็นรายได้อื่น ๆ
"การจะดูแลคนให้อยู่กับเราเป็นเรื่องท้าทาย และการที่เรายังเป็นอันดับ 1 อยู่ได้เพราะนักลงทุนบุคคลยังโดดเด่นอยู่ ขณะที่สถาบันในประเทศไตรมาส 4/57 ขยับขึ้นเป็น 6-7% จากปีก่อน 5% ต้นปีนี้ก็อยู่ที่ 6-7% เมื่อเราดูโบรกฯที่เป็นผู้นำสถาบันในประเทศอยู่ที่ 9% เราก็ห่างจากโบรกฯผู้นำไม่เยอะสะท้อนว่าลูกค้ามั่นใจเรามากขึ้นเป็นสัญญาณที่ดี" นายมนตรี กล่าว
ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยรับอยู่ที่ 21% ของรายได้รวม โดยบริษัทมีวงเงินให้กู้ยืมเพื้อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท กินมาร์เก็ตแชร์ 22% จากทั้งระบบมีประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยสามารถปล่อยได้สูงสุดถึง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงในระดับที่ดีมาก สะท้อนไปถึง 13 ปีที่ผ่านมาไม่มีหนี้เสียเลย อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้จากธุรกรรมการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์(SBL)ด้วย
"บริษัทสามารถคุมมาร์จิ้นโลนได้ดี ลูกค้าไม่เคยมีปัญหา ดูแลตัวเอง หุ้นตกมากขนาดไหนโบรกฯเราไม่มีการบังคับขายหุ้น"นายมนตรี กล่าว
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ MBKET กล่าวถึงภาวะตลาดหลักทรัพย์ของไทยในช่วงครึ่งปีแรกว่า มองเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index)ที่ 1,650 จุด ถือเป็นระดับที่เหมาะสม ภายใต้คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ(จีดีพี)เติบโต 4% กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) เติบโต 20% ส่วนภาวะทั้งปีต้องรอประเมินอีกทีในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะคาดไตรมาส 2/58 ตลาดหุ้นน่าจะปรับฐานจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจปรับทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งก็จะมีผลต่อเงินลงทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ หุ้นที่แนะนำปีนี้ เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง สื่อสาร ดิจิตัล ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ ปีนี้นโยบายรัฐบาลชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนของรัฐบาลเป็นจะผลักดัน โดยเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท
อินโฟเควสท์
MBKET ตั้งเป้ารายได้ปี 58 โตไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมรักษาแชมป์มาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 - โชว์งาน IB ในมือ มูลค่าระดมทุนกว่า 1 หมื่นลบ.
MBKET ตั้งเป้ารายได้ปี 58 โตไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมรักษาแชมป์มาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 พร้อมโชว์งาน IB ในมือ มูลค่าระดมทุนกว่า 1 หมื่นลบ. ขณะที่ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์แตะ 15% ในปี 63 เตรียมขยายฐานลูกค้าทะลุ 2 แสนบัญชี เพิ่มมาร์เก็ตติ้ง 200-300 ราย ส่วนแนวโน้มหุ้นไทยปีนี้คาดดัชนีครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,650 จุด วอลุ่มเฉลี่ย 4.5 หมื่นลบ. ส่วนกำไรบจ.ทั้งปีโต 20%
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,434.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,252.49 ล้านบาท แม้ภาพรวมปริมาณการซื้อขายจะปรับลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบทางการเมือง แต่ก็ถือว่าบริษัทฯ เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการกระจายรายได้ที่หลากหลาย แบ่งเป็นงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 71% ดอกเบี้ยรับ 21% วาณิชธนกิจ 5% และอื่นๆ 3%
ทั้งนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายจะรักษาการเป็นอันดับหนึ่งด้านส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจ โดย ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ 10.56% ซึ่งเป็นการเฉลี่ยน้ำหนักของนักลงทุนในประเทศ 14.6% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 5.6% และนักลงุทนสถาบันต่างประเทศ 2.3% คิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ ทั้งสิ้น 170,000 บัญชี เป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ 50% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มเป็น 195,000 บัญชี ในปีนี้ ด้วยการสนับสนุนของธนาคารระดับโลกอย่างธนาคารเมย์แบงก์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทฯ เป็นโบรกเกอร์ที่แข็งแกร่งด้านโครงสร้าง การเงิน ตลอดจนการให้บริการ อีกทั้งมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีเครดิตเรตติ้ง จากฟิทช์ อยู่ที่ AA (TH) ซึ่งเทียบเท่ากับธนาคารชั้นนำของไทย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทย
ด้านสถาบันในประเทศ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด 1 ใน 10 รายแรกของสถาบันในประเทศทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนสถาบันต่างประเทศก็ได้ธนาคารเมย์แบงก์ ช่วยสนับสนุนให้มีลูกค้าสถาบันต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สำหรับสายงานวาณิชธนกิจ ปัจจุบันมีดีลการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ไอพีโอ) ประมาณ 5-7 บริษัท และมีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 2-3 บริษัท รวมถึงกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อีก 2-3 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กลุ่มเมย์แบงก์มีการสนับสนุนด้านงาน Golbal Wholsale Banking ซึ่งมีความพร้อมและแข่งขันได้มากในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ ดังที่ได้ปล่อยสินเชื่อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท
นายมนตรี กล่าวด้วยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์แตะ 15% ในปี 2563 โดยจะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนบุคคลเป็น 22% จากปัจจุบันที่ 14% ขณะที่นักลงทุนในประเทศเป็น 10% จากปัจจุบันที่อยู่ราว 5% และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเพิ่มเป็น 5% จากปัจจุบันที่ 2% โดยตั้งเป้าหมายจะมีฐานบัญชีลูกค้าทั้งสิ้นมากกว่า 2 แสนบัญชี
ทั้งนี้ บริษัทฯจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับกับเป้าหมายระยะ 5 ปี โดยจะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน (IC) อีก 200-300 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 791 ราย
"เราได้วางเป้าหมาย 5 ปี ให้สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ที่ตั้งเป้าจะมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1 แสนล้านบาท ในปี 2563 โดยเราคาดหวังมาร์เก็ตแชร์ที่ 15% ซึ่งจากนี้จะเร่งขยายฐานลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงเพิ่มเจ้าหน้าที่ IC อีก 200-300 คน โดยจะเน้นปั้นบุคลากรรุ่นใหม่มากกว่าการดึงตัวบุคลากรจากที่อื่น" นายมนตรี กล่าว
สำหรับ ในปีนี้มาร์เก็ตแชร์น่าจะอยู่ที่ระดับ 11-12% โดยจะรักษาการเป็นอันดับ 1 ให้ได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีฐานลูกค้าที่ 1.95 แสนราย และจะให้มีลูกค้าที่ซื้อขายสม่ำเสมอมากกว่า 50%
ด้านการปล่อยสินเชื่อกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (Margin Loan) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท มีมาร์เก็ตแชร์ 22% โดยทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯสามารถปล่อย Margin Loan ได้ถึง 2 หมื่นล้านบาท เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน เนื่องจากปัจจุบันมี NCR มากกว่า 20% โดยบริษัทฯมีการบริหารความเสี่ยงในระดับที่ดีมาก ซึ่ง 13 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมี NPL จากการปล่อย Margin Loan แม้จะผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้ง โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าที่ใช้ Margin Loan ของบริษัทฯอยู่ที่ประมาณ 3,000 ราย หรือกว่า 10% หากคิดจากวอลุ่มเฉลี่ยต่อวันที่ซื้อขายของบริษัทฯ
ส่วนค่าคอมมิสชั่นปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.14% ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯมีฐานลูกค้ารายใหญ่ค่อนข้างมาก คิดเป็น 5% ของจำนวนบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ หรือหากคิดจากวอลุ่มของบริษัทฯที่มีการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 1 หมื่นล้านบาท จะอยู่ที่ราว 30% ทั้งนี้ในปีนี้คาดว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของบริษัทฯจะเพิ่มอีกราว 10% หรืออยู่ที่ราว 1.1 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ด้านนางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจหลักทรัพย์ MBKET เปิดเผยว่า สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศ บริษัทฯ มุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อย โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 14.6% เป็น 15% ในปี 2558 และตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดด้านธุรกรรมออนไลน์ ให้อยู่ระดับ 20% และขยายฐานลูกค้าโดยรวม เพิ่มขึ้นอีกกว่า 20,000 บัญชี หรือคิดเป็นการเติบโต 10%
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะรุกด้วยการออกบริการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ครบถ้วนและครอบคลุม ตรงใจตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักลงทุน อาทิ โปรแกรม ALGO Trading ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่เพื่อความง่ายในการซื้อขาย, โปรแกรม i2Trade Plus เป็นระบบคำสั่งซื้อขายหุ้นแบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่นักลงทุนกำหนดไว้ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้ i2Trade Plus อยู่แล้ว โดยจะเพิ่มคำสั่งการซื้อขายแบบออโต้เทรด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ออกโปรแกรม SSF Block Trade ซึ่งเป็นบริการซื้อขายล็อตใหญ่ สำหรับ Single Stock Futures ในตลาด TFEX ซึ่งได้รับการอนุมัติวงเงินสูงสุดจากเมย์แบงก์ กรุ๊ป ถึง 4,200 ล้านบาท
ด้านการขยายสาขา บริษัทฯ จะขยาย Kiosk แทนการเปิดสาขา เนื่องจากสามารถเข้าถึงนักลงทุนเป้าหมายได้ ปัจจุบันมีเปิดให้บริการอยู่ 3แห่ง ได้แก่ สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีย์ หมอชิต และศาลาแดง นางบุญพร กล่าวต่อว่า สำหรับแผนงาน 3 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะเร่งพัฒนาสินค้าและบริการใหมๆ เพื่อรองรับ Asset Class ที่หลากหลาย เช่น แผนการจัดตั้งฝ่าย Fixed Income เพื่อให้บริการสินค้าในตลาดตราสารหนี้ เช่น Bond ทั้งในและต่างประเทศ ตั๋ว BE หรือ ELN โดยจะเน้นในตลาดรอง รวมถึงเร่งพัฒนาระบบ ALGO Trading ให้มีความเสถียร รองรับการใช้งานจากผู้ลงทุน
นอกจากนั้น บริษัทฯจะเร่งพัฒนา และเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน หรือ IC ให้มีความรอบรู้ และมีจรรยาบรรณที่ดีเป็นพื้นฐาน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ MBKET เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 1,650 จุด ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม โดยเป็นไปตามปัจจัยบวกจากคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนของปีนี้ที่จะเติบโตในระดับ 20% สอดคล้องกับประมาณการจีดีพีที่จะเติบโต 4%
ทั้งนี้ มองว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้จะมากกว่าปีก่อน โดยคาดอยู่ที่เฉลี่ย 4.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ซึ่งน่าจะไหลกลับมาภูมิภาคตามนโยบายอัดฉีดเงินของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น
โดยแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มสื่อสาร กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจยุค Digital Economy รวมถึงกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้างที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 2 ตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับฐานซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยให้นักลงทุนระมัดระวังเพราะอาจจะได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย