- Details
- Category: บล.
- Published: Saturday, 03 July 2021 21:42
- Hits: 12005
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)’ ที่ ‘A’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ’คงที่’โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ ตลอดจนแหล่งรายได้ที่มีความหลากหลาย และความสามารถในการทำกำไรที่ดีของบริษัท
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการยกระดับเพิ่มขึ้น 1 ขั้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ที่ระดับ ‘a-‘ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทในเครือเชิงกลยุทธ์ (Strategic Affiliate) ของ KGI Securities Co., Ltd. ในไต้หวัน (หรือ KGI Taiwan รวมทั้งบริษัทในเครือรายอื่นๆ ในกลุ่มเคจีไออีกด้วยโดย KGI Taiwan ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ ‘BBB’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ จาก S&P Global Ratings)
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นของสัดส่วนรายได้กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทเมื่อเทียบกับรายได้รวม
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทในเครือเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มเคจีไอ
อันดับเครดิตองค์กรของ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะในการเป็นบริษัทในเครือเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มเคจีไอ ทั้งนี้ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มี KGI Asia (Holdings) Pte. Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 34.97% ในขณะที่ KGI Asia (Holdings) เป็นบริษัทลูก 100% ของ KGI Taiwan โดยคณะกรรมการของบริษัทจำนวน 3 คนจากทั้งหมด 9 คนได้รับการเสนอชื่อโดย KGI Taiwan
บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้รับการสนับสนุนทางธุรกิจและความรู้ความเชี่ยวชาญของ KGI Taiwan ซึ่งทำให้บริษัทกลายมาเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย ทริสเรทติ้ง เชื่อว่าการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานและการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอให้แก่กลุ่มเป็นเหตุจูงใจที่จะทำให้กลุ่มเคจีไอยังคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทพร้อมทั้งให้การสนับสนุนแก่บริษัทต่อไปในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ดี แม้ว่า ทริสเรทติ้งจะมองเห็นความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งในด้านกลยุทธ์และความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัท กับ KGI Taiwan และบริษัทในเครือ แต่ยังไม่มีหลักฐานการสนับสนุนทางด้านการเงินที่ชัดเจนจากกลุ่ม
สัญญาณการกระจายตัวของรายได้ที่ดีขึ้น
ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมารายได้จากกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินถือเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท โดยมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 40% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2561-2562 ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความผันผวนอย่างหนักในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ซึ่งรวมถึงการหยุดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) รวม 3 ครั้งได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะในการป้องกันความเสี่ยงของเดลต้า (Delta Hedging) ครั้งใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งการดำเนินการปรับสมดุลที่รุนแรงเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant – DW) มีผลทำให้กำไรสุทธิในปี 2563 ของบริษัทหดตัวลง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างของผลกระทบในด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพิงรายได้จากกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตของบริษัทประการหนึ่ง
แม้ว่าทริสเรทติ้งยังมองว่าสัดส่วนรายได้จากกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินจะยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ของรายได้รวมของบริษัท แต่ทริสเรทติ้งก็เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ผ่านๆ มาของรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เติบโตขึ้น ซึ่งหากการเติบโตยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องก็น่าจะช่วยให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวนอกเหนือไปจากรายได้ที่มีความผันผวนจากตลาด ทั้งนี้ ในปี 2563 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้จากค่าธรรมเนียมของบริษัทคิดเป็น 32% และ 33% ของรายได้รวม ตามลำดับ เมื่อเทียบกับ 21% และ 24% ในปี 2562
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยังคงสถานะความเป็นผู้นำทางการตลาดของไทยในการออกผลิตภัณฑ์ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ระดับ 43% ในปี 2563 และ 50% ในเดือนเมษายน 2564 ถึงแม้ว่าบริษัทมีการชะลอการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หลังจากช่วงที่ตลาดมีความผันผวนอย่างหนักในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ก็ตาม ทั้งนี้ การที่บริษัทได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เพื่อลดความเสี่ยงทางการตลาดลงนั้นทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต่อไปได้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ก็มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 เป็นต้นมาจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าต่างชาติรายใหญ่ 2-3 รายที่บริษัทมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 7.03% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 จาก 3.82% ในปี 2563 ซึ่งทำให้รายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 45% ในไตรมาสแรกของปี 2564 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจนี้ให้ได้อย่างน้อยที่ระดับ 6% ของส่วนแบ่งโดยรวมเมื่อพิจารณาจากฐานลูกค้าต่างชาติที่ขยายตัว
ความก้าวหน้าที่สำคัญและน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการเติบโตที่มั่นคงของรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของสถานะทางการตลาดของบริษัทลูกรายนี้ โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมของ บลจ. วรรณ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 106% ในไตรมาสแรกของปี 2564 และ 17% ในปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากการเสนอขายกองทุนรวมอย่างต่อเนื่องและการมีเครือข่ายจัดจำหน่ายที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ความผันผวนของกำไรจากความเสี่ยงทางการตลาด
ฐานทุนของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (Risk-adjusted Capital Ratio -- RAC) นั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแรงซึ่งอยู่ในระดับ 16%-17% ในภาวะปกติและใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตซึ่งอยู่ที่ระดับ 17% แม้อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงเหลือ 15% ในปลายไตรมาสแรกของปี 2564 แต่ก็เป็นผลที่เกิดจากการขยายตัวของงบดุลเนื่องจากลูกหนี้ในธุรกิจค้าหลักทรัพย์เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในการนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าฐานทุนในปัจจุบันของบริษัทนั้นถือว่าเพียงพอในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในภาวะปกติของบริษัท โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (Net Capital Ratio -- NCR) ที่ยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 65% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 โดยสูงกว่าอัตราขั้นต่ำของทางการที่ระดับ 7% ค่อนข้างมาก
ทริสเรทติ้ง คาดว่าความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ซึ่งวัดจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ที่ปรับความเสี่ยงเฉลี่ยจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ระดับ 3%-4% มาตั้งแต่ในอดีต อย่างไรก็ตามปี 2563 เป็นปีที่ไม่ปกติ เนื่องจากเป็นปีที่บริษัทได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการตลาดที่รุนแรง ซึ่งทำให้อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 1.8%
แม้ทริสเรทติ้ง จะมองว่าเหตุการณ์ในปี 2563 จะเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราว แต่ยังคงความเห็นว่าการกระจุกตัวของรายได้จากกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินอาจจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความมีความอ่อนไหวต่อตลาดในช่วงที่มีความผันผวนสูง
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังถือว่ามีผลการดำเนินงานโดยรวมที่อยู่ในระดับที่ดีจากการมีกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินที่แข็งแกร่งและจากรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2564 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ที่ปรับความเสี่ยงเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7.56% เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.82% ในปี 2563 และระดับ 3.93% ในปี 2562 ทั้งนี้ เมื่อคำนึงถึงแนวโน้มความผันผวนของกำไรแล้ว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ที่ปรับความเสี่ยงเฉลี่ยแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
การบริหารความเสี่ยงที่ปรับตัวดีขึ้น
ในความเห็นของทริสเรทติ้งมองว่าการบริหารความเสี่ยงของ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยบริษัทยังคงได้รับการสนับสนุนและแนวทางการบริหารความเสี่ยงจากกลุ่มเคจีไอทั้งในด้านความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านผลิตภัณฑ์ ระบบการซื้อขายอัตโนมัติ กลยุทธ์การซื้อขาย และการบริการความเสี่ยง ทั้งนี้ บริษัทยังมีการกำหนดนโยบายและกระบวนการบริหารความเสี่ยงของบริษัท ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน
โดยได้กำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้และระบบตรวจสอบความเสี่ยงของตลาดตามเวลาจริง (Real Time) ที่ชัดเจนอีกด้วย โดยการมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งได้ส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ในเกือบทุกกรณีแม้ว่าความเสี่ยงที่บริษัทยอมรับได้จะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงก็ตาม บริษัทมีการปรับปรุงการควบคุมความเสี่ยงหลังจากการขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ในปี 2563
โดยผู้บริหารได้ทำการปรับปรุงลักษณะของผลิตภัณฑ์และปัจจัยในการคำนวณราคาของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เพื่อรองรับความเสี่ยงที่มีขอบเขตกว้างขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีการบริหารเงินลงทุน (Proprietary Trading) เป็นอย่างดีโดยผ่านระบบการซื้อขายอัตโนมัติและการควบคุมปริมาณธุรกรรมอีกด้วยซึ่งในระยะปานกลางทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาการทำกำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินที่สม่ำเสมอเหมือนในอดีตที่ผ่านมาได้
แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องยังคงเพียงพอ
แหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทริสเรทติ้ง ประมาณการอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพ (Gross Stable Funding Ratio – GSFR) ของบริษัทว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 130% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าเพียงพอตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้งและอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของ บล.อื่นๆ ที่จัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้ง เมื่อพิจารณาในด้านสภาพคล่อง ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินงานในระดับปัจจุบันและการขยายธุรกิจในอนาคต โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่อง (Liquidity Coverage Ratio – LCR) ของบริษัทจะยังคงอยู่ในเกณฑ์เพียงพอที่ระดับประมาณ 0.8-0.9 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ได้รับอานิสงส์จากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2563 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2564
ตลาดหุ้นของไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เป็นต้นมาโดยเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในปี 2563 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2564 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้งรายงานการเติบโตของรายได้โดยรวมที่ระดับ 61% ในไตรมาสแรกของปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) รอบใหม่ที่มีต่อบรรยากาศของตลาดและมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นถือว่ามีจำกัด
โดยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 9.86 หมื่นล้านบาท ณ เดือนพฤษภาคม 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับระดับ 6.86 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ดัชนีราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างแข็งแกร่ง เนื่องด้วยคาดการณ์เศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัวโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังนี้
- อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.03%-0.04%
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 42%
- อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงเพิ่มความหลากหลายของแหล่งที่มาของรายได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจที่สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมและการรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดีได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่งจากการมีระดับกำไรที่มีเสถียรภาพและการจ่ายเงินปันผลในระดับที่เหมาะสมในขณะที่บริษัทจะยังคงมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัด อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับเครดิตก็อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีฐานทุนซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะเวลาที่ต่อเนื่องซึ่งเกิดจากการขาดทุนที่ทำให้ส่วนทุนลดลงหรือจากการขยายตัวของงบดุลอย่างรวดเร็วจากการขยายธุรกิจเชิงรุก
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีต่อสถานะเครดิตของกลุ่มเคจีไอหรือมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานะของบริษัทที่มีต่อกลุ่มเคจีไอที่เปลี่ยนไปก็อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564 |
- Securities Company Rating Methodology, 9 เมษายน 2563 |
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน (KGI)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง
ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ