- Details
- Category: ธปท.
- Published: Thursday, 10 July 2014 00:03
- Hits: 3186
ผู้ว่าธปท. ชี้ เอสเอ็มอีกว่า 2 ล้านราย ยังเข้าไม่ถึงเงินทุน เหตุสถาบันการเงินห่วงผิดนัดชำระหนี้
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยว่า ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ เป็นการสร้างหลักประกันใหม่ นอกเหนือจากการจำนองและค้ำประกัน โดยให้สามารถนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นหลักประกันได้ โดยไม่ต้องส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันแก่ผู้ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งมองว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีก ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 2 ล้านราย และยังช่วยพัฒนากระบวนการทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะเอสเอ็มอีมีสัดส่วนถึง 40% ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่า 4 ล้านล้านบาทของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อย เนื่องจากสถาบันการเงินยังมีความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงกับสถาบันการเงิน
"ในมุมของผู้ให้กู้ไม่ได้อยากได้หลักประกันของลูกหนี้ แต่อยากให้ลูกหนี้มีการชำระคืนมากกว่า ดังนั้นหากผู้ประกอบการจะทำให้สถาบันการเงินมั่นใจในการปล่อยกู้ภายใต้กฎหมายดังกล่าวจะต้องเปิดเผยข้อมูลของบริษัทอย่างโปร่งใสและมีระบบบัญชีที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อ" นายประสาร กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ผู้ว่าฯธปท.-SMEs ขานรับกม.หลักประกันทางธุรกิจเชื่อหนุน ศก.ให้เข้มแข็ง
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวในงานเสวนาเรื่อง "กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจจะช่วยให้ไทยเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจริงหรือ" โดยมองว่า ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ถือเป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากในกฎหมายฉบับนี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นรายกลางและรายย่อย(SMEs) ที่มีความต้องการสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ แต่ติดขัดในเรื่องข้อจำกัดทางเครดิต โดยกฎหมายฉบับนี้จะมีการเพิ่มรูปแบบของทรัพย์สินที่จะมาใช้เป็นหลักประกันในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือสถาบันการเงิน เช่น เครื่องจักร, สินค้าคงคลัง, วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเช่นกัน จากเดิมที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำกัดทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันอยู่เพียง 2 รูปแบบ คือ การจำนำ และการจำนอง
ผู้ว่าฯ ธปท.มองว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่ถึง 2 ล้านราย จากจำนวน SMEs ทั้งหมดในประเทศกว่า 2.7-2.9 ล้านราย ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ได้ โดยมีผู้ประกอบการเพียง 7-9 แสนรายเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นจึงต้องการเห็นผู้ประกอบการเหล่านี้มีช่องทางในการเข้าถึงสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในภาพรวมเศรษฐกิจได้ดี เพราะธุรกิจ SMEs ในปัจจุบันสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศได้ถึง 4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของจีดีพี มีการจ้างงานถึง 11 ล้านคน ซึ่งธุรกิจ SMEs เหล่านี้ยังมีส่วนในการช่วยเกื้อหนุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในหลายภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะเดียวกันการมีกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจจะช่วยให้สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์มีความมั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้นด้วย เพราะสามารถลดความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ลงได้
ด้านนางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการ SMEs ต่างรอคอยกฎหมายฉบับนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว เพราะที่ผ่านมาการเข้าถึงแหล่งทุนของ SMEs มีอุปสรรคค่อนข้างมากเนื่องจากการขาดหลักประกัน และหลักทรัพย์ต่างๆ ที่จะนำมาใช้สำหรับการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ จากร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ที่ได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถนำหลักประกันอื่นๆ มาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันการขอสินเชื่อได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร สินค้าคงคลัง วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือสินค้าสำเร็จที่รอการจำหน่าย ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า หรือแม้กระทั่งสิทธิเรียกร้องต่างๆ เช่น สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ สิทธิในการเช่าก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันได้เช่นกัน
ด้านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีตรองประธานวุฒิสภา เชื่อมั่นว่า กฏหมายหลักประกันทางธุรกิจจะเป็นเครื่องมือทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็งขึ้นได้ แต่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินในการเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบธุรกิจมากขึ้น และต้องเกิดความเป็นธรรม สามารถตอบโจทย์ให้กับสังคมได้ โดยเฉพาะเรื่องของข้อความในสัญญาที่คู่สัญญาต้องได้รับความเป็นธรรมและเสมอภาค และหากกฏหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ก็ควรจะให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยดูแลรูปแบบของสัญญา
พร้อมมองว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมผุ้ประกอบธุรกิจในการเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวกขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อสามารถบังคับคดีหรือเร่งการชำระหนี้ได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ดี นายสุรชัย แสดงความเป็นห่วงในบทบาทของผู้บังคับหลักประกัน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนผู้พิพากษาหรือเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ควรวางบทบาทให้เหมาะสม ไม่สร้างปัญหาใหม่ พร้อมทั้งแนะนำว่ากฏหมายฉบับนี้ควรเน้นการเข้าไปฟื้นฟูกิจการ SMEs ที่มีปัญหามากกว่าการเข้าไปยึดกิจการเหล่านั้นในกรณีที่ผิดนัดชำระหนี้
ขณะที่ นายกำชัย จงจักรพันธ์ ประธานกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฏหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ยืนยันว่า จะเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ทันทีหากมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติในสมัยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และเชื่อว่าการที่ คสช.ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs โดยยกให้การส่งเสริมธุรกิจ SMEs เป็นวาระแห่งชาตินั้นจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ร่างกฏหมายฉบับบนี้ผ่านความเห็นชอบและมีผลบังคับใช้ได้ในอีกไม่นาน หลังจากที่มีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี
อินโฟเควสท์