WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ธปท.เผยโอกาสที่จีดีพีปีนี้จะโตต่ำกว่า 2.7% มาจากการจัดทำงบปี 58 ล่าช้า-ศก. 2 เดือนแรกหดตัวต่ำกว่าที่คาด

    ธปท. เผยโอกาสที่จีดีพีปีนี้จะโตต่ำกว่า 2.7% มาจากการจัดทำงบปี58ล่าช้า-ศก. 2 เดือนแรกหดตัวต่ำกว่าที่คาด ส่วนราคาก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเพิ่มบ้าง แต่เชื่อเป็นแค่ระยะสั้น

    ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยถึง กรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)มองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ มีโอกาสจะโตต่ำกว่า 2.7% ว่ามาจาก 2 สาเหตุหลักคือ เรื่องการจัดทำงบประมาณปี 58ที่อาจล่าช้าออกไปประมาณ 5-6 เดือน หรือ 2 ไตรมาส จากเดิมที่คาดว่าจะล่าช้า 1 ไตรมาส เนื่องจากยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามา ซึ่งอาจส่งผลทางอ้อมต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการที่เศรษฐกิจใน 2 เดือนแรกหดตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ ดังนั้น อาจจะทำให้การประชุม กนง.ในครั้งหน้าจะมีการปรับลดจีดีพีลงจากเดิมคที่คาดจะโต 2.7% แม้ในปีนี้จะมีปัจจัยบวก คือเรื่องของการส่งออกที่จะขยายตัว 4.5% เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่อาจจะมีการขาดหายไป   

     "การจัดทำงบประมาณปี 58 อาจมีการล่าช้าออกไป 5-6 เดือน หรือ 2 ไตรมาส เนื่องจากไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาจึงส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าออกไปด้วย รวมถึงการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่อาจมีการชะลอการลงทุนออกไป แม้ในปีนี้การส่งออกจะเป็นตัวช่วยหลักแต่ก็ไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ" ดร.รุ่ง กล่าว

     ดร.รุ่ง กล่าวต่อว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าอาจมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มที่ส่งผลให้ราคาอาหารปรับเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ส่งผ่านไปยังกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มขึ้นแค่ชั่วคราวและเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะยังอยูในกรอบที่ 2.5%

     "เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าอาจมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแต่เป็นเพียงชั่วคราว โดยมาจากการปรับราคาก๊าซหุงต้มที่มีการเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นองค์ประกอบในเรื่องอาหาร แต่ทั้งนี้ไม่ส่งผ่านไปยังราคาอื่นๆที่ไม่ใช่กลุ่มอาหาร และยังคาดไว้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะยังอยูในกรอบ 2.5%" ดร.รุ่ง กล่าว  

    ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือน เม.ย.2557 พบว่ามีเงินทุนไหลเข้าสุทธิทั้งตลาดหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ หลังจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่ายังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มผ่อนคลายลง และตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังเป็นการไหลออกสุทธิเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่น่าห่วง  

    อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนในอดีต เนื่องจากการที่ประชาชนมีหนี้ครัวเรือนที่สูงจึงต้องระมัดระวังการใช้จ่าย และแม้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นรายเดิมยังมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่นักลงทุนต่างชาติรายใหม่ยังชะลอการลงทุนออกไป  ซึ่งจะสอดคล้องกับสถาบันจัดอันดับมูดี้ส์ ที่ยังมีการจัดอันดับประเทศไทยในอันดับที่มีเสถียรภาพ แต่ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดเพราะจะเป็นผลต่อเศรษฐกิจไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!