- Details
- Category: ธปท.
- Published: Wednesday, 18 February 2015 22:26
- Hits: 2398
แบงก์ชาติ เมินแรงกดดันให้ลดดอกเบี้ย
แนวหน้า : แบงก์ชาติเมินแรงกดดันให้ลดดอกเบี้ย ยันต้องใช้มาตรการคลังปลุกศก. ชี้เกษตรกรรายได้ต่ำฉุดกำลังซื้อ
อัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้ภาคเอกชน 3 สถาบันได้เข้าพบแบงก์ชาติให้พิจารณาเรื่องนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับสภาพตลาดเงินโลก และช่วยส่งเสริมการส่งออกของไทย และล่าสุด ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้แบงก์ชาติจับตาเรื่องการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดเงิน เรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องดอกเบี้ย ทำให้หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า แบงก์ชาติกำลังถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจากปัจจุบันอยูที่ 2.00%
และล่าสุดวันที่ 17 ก.พ. 2558 นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อขณะนี้แม้จะอยู่ระดับต่ำ แต่ทั้งปี ธปท.ประเมินว่าจะกลับมาบวกเพิ่มขึ้นได้ เพราะหลังจากราคาน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าเพิ่ม เพราะอาจรอจนเงินออมมีความพร้อมในการซื้อสินค้า จึงจะทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น เมื่อมีความมั่นใจ
สำหรับ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะนี้ นายจิรเทพกล่าวว่า นโยบายการคลังเป็นส่วนสำคัญมาก รัฐบาลจึงควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ งบลงทุน เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้โครงการลงทุนดูคืบหน้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค เพราะแม้ ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ย แต่คงไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นในทันที เพราะต้องพิจารณาหลายปัจจัยควบคู่กัน โดยเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อยังคงทรงตัวขยายตัวเพียง 3.8%
ส่วนการส่งออกทั้งปี ธปท.คาดการณ์ขยายตัว 1% ซึ่งมองว่าไม่สูงเท่ากับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.5%เพราะต้องประเมินอย่างรอบคอบ เนื่องจากสินค้าเกษตรยังสัมพันธ์กับราคาน้ำมันลดลง ราคาสินค้าเกษตรจึงอยู่ในระดับต่ำ และสินค้าเกษตรมีสัดส่วนสูงถึง 18% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด จึงทำให้รายได้เกษตรกรไม่สูงมาก จึงกระทบกำลังซื้อซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่ง ธปท. จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ส่วนกรณีประเทศกรีซไม่สามารถเจรจาตกลงกับธนาคารกลางยุโรปได้ ในกรณีภาระหนี้จะครบกำหนดหลายประเภท แต่ต้องการขอกู้เงินเพิ่มนั้น และเมื่อกรีซเข้าโครงการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะต้องปฏิรูปหลายด้าน เพราะสัดส่วนหนี้สูงถึง 175% ของจีดีพี ปัญหาดังกล่าวคงต้องหาข้อบรรลุร่วมกันระดับหนึ่ง มองว่าไม่ส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมาก โดยปัจจุบันทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้น 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ประมาณ 418 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงมีเงินทุนไหลออก 310 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงินตลาดทุน
ธปท.มั่นใจสิ้น 58 เงินเฟ้อเป็นบวกน้ำมันขึ้นรับตรุษจีน 60 สต.แต่ราคาสินค้ายังทรงตัว
ไทยโพสต์ : บางขุนพรหม * ธปท.มั่นใจสิ้นปีเงินเฟ้อดีดกลับเป็นบวก รับบาทแข็ง แจงไม่ใช่จังหวะที่จะออกมาตรการดูแล ยันดอกเบี้ยยังไม่เป็นอุปสรรคในการดูแลระบบเศรษฐกิจ ด้าน ปตท.-บางจาก ขึ้นน้ำมันรับตรุษจีน 60 สต. ด้าน "พาณิชย์" ตรวจสินค้า พบราคาทรงตัว ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ยกเว้นส้ม กล้วย ปรับตัวสูงขึ้น เผยทุกสาขาของห้างจัดเมนูจานด่วน 30-35 บาทครบทั้งประเทศ
นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้จะยังไม่ใช้นโยบายการเงิน เพื่อสกัดปัญหาอัตราเงินเฟ้อติดลบ ที่เป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง หลังจากที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือน ม.ค.2558 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.4% โดยยังเชื่อว่าทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะยังขยายตัวเป็นบวก
"ธปท.ยังมองภาพเงินเฟ้อทั้งปีจะยังเป็นบวกได้ แม้ว่าช่วงแรกอาจจะติดลบไปบ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลด ลง ซึ่งก็จะเป็นเรื่องดีกับกำลังซื้อ ของประชาชน ส่วนเงินเฟ้อที่ติด ลบในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้สะท้อนว่าระดับราคาของประเทศลดลงไปด้วย แต่เงินเฟ้อเป็นเรื่องของอุปทาน ที่อาจไม่ได้สอดคล้องว่า นโยบายการเงินจะทำอะไรได้" นาย จิรเทพกล่าว
นายจิรเทพกล่าวว่า ในส่วนของตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ ธปท.ประเมินว่าจะขยายตัวที่ 1% ซึ่งต่ำกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ซึ่งประเมินไว้ที่ 3.5% เนื่องจากการประเมินราคาสินค้าที่ประเมินไว้ค่อนข้างแตกต่างกัน
ขณะที่การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้จะมีการแข็งค่าขึ้น แต่ก็ยังมีเสถียรภาพ มีการไหลออกจากหลักทรัพย์บ้าง แต่ก็ยังมีการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามา ซึ่งยอมรับว่าทุกคนเป็นห่วงในเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ประเทศที่จะให้ ธปท.ทำอะไรในขณะนี้ โดยภาพใหญ่แล้วต้องมีการทำงานประสานกันทุกหน่วยงานเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว
สำหรับ เรื่องอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการ ดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจ ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น มองว่านโยบายการคลังน่าจะเป็นกลไกในการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจได้เร็วกว่า ผ่านการเบิกจ่าย และอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ขณะที่นโยบายการคลังต้องส่งต่อหลายทอด ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน ดังนั้นมองว่าขณะนี้นโยบายการคลังทำหน้าที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว และดีอยู่แล้ว รายงานข่าว ผู้ค้าน้ำมันแจ้งว่า ค่ายน้ำมัน ปตท.และบางจากนำร่องปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 60 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 85 ปรับขึ้น 40 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 18 ก.พ.2558
โดยราคาใหม่หน้าปั๊มปรับเป็นดังนี้ เบนซิน 95 อยู่ที่ 35.66 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 35.06 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 29.10 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 28.50 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 27.78 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 27.18 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 26.38 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 25.78 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์อี 85 อยู่ที่ 23.08 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 22.68 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลอยู่ที่ 26.79 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 26.19 บาทต่อลิตร
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะของเซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่ห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ ว่า ราคาสินค้าของเซ่นไหว้มีราคาทรงตัวและใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหมู เป็ด ไก่ ยกเว้นผลไม้ เช่น ส้ม กล้วย มีราคาสูงขึ้น 5-10% ตามความต้องการที่สูงขึ้น
สำหรับ การจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) เมนูที่กำหนด เช่น ข้าวกะเพรา ก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว เป็นต้น ในห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ราคา 30-35 บาท ยกเว้นห้างเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ ราคา 40 บาทนั้น ตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. ทุกสาขาของห้างทั่วประเทศได้มีการจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จแล้ว โดยจะดำ เนินการไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.2558 ยกเว้นห้างเดอะมอลล์ที่จะเปิดภายในสัปดาห์หน้า.