- Details
- Category: ธปท.
- Published: Sunday, 19 July 2020 20:04
- Hits: 16347
ผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) วันที่ 7 กรกฎาคม 2563
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่าง กนง. และ กนส. วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี ระบบการเงินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ยังมีความไม่แน่นอนว่าการแพร่ระบาดของโรคจะสิ้นสุดลงเมื่อใดและผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินจะยืดเยื้อเพียงใด จึงจำเป็นต้องรักษากันชน (buffer) ระดับสูงไว้อย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์ที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในหลายประเทศรวมทั้งไทยทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รายได้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ปรับลดลงมาก และยังต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลงเป็นวงกว้าง รวมทั้งรูปแบบการดำเนินธุรกิจและวิถีชีวิตใหม่ของประชาชนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ที่ประชุมได้ประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (scenario analysis) อย่างรอบด้าน ทั้งความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในระยะข้างหน้า รวมถึงความเสี่ยงที่ธุรกิจที่ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้จะถูกปรับลดอันดับเครดิต (credit rating downgrade) จากแนวโน้มผลประกอบการที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนสำคัญในระบบการเงิน อาทิ สหกรณ์ออมทรัพย์ ธุรกิจประกันภัย กองทุนรวม และ ธพ. ผ่านช่องทางการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนและการให้สินเชื่อ นอกจากนี้ ยังได้ประเมินความเพียงพอของ buffer ของระบบ ธพ. ภาคตลาดทุน และภาคประกันภัย หากเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนสูง การเตรียมพร้อมมาตรการเชิงป้องกัน (pre-emptive) อย่างครอบคลุมจึงมีความจำเป็น โดยที่ประชุมให้น้ำหนักกับการดำเนินงานที่สำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
- การประเมินผลมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งครัวเรือน ธุรกิจ และตลาดการเงินที่ได้ดำเนินการแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการต่าง ๆ สามารถช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องได้ตรงจุดและทันการณ์ในช่วงเยียวยาและช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 1-2 ที่ ธปท. ดำเนินการร่วมกับผู้ให้บริการทางเงินเพื่อลดภาระการผ่อนชำระหนี้ของครัวเรือน และสร้างความมั่นใจว่าเมื่อสิ้นสุดมาตรการการให้ความช่วยเหลือแล้ว จะไม่ส่งผลให้ภาระหนี้ของลูกหนี้เร่งขึ้นจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ ตลอดจนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) รวมทั้งโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ช่วยเหลือผ่านการให้สินเชื่อเพิ่มเติมแก่ SMEs
ด้านการดูแลสภาพคล่องและรักษาเสถียรภาพตลาดการเงิน ธปท. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามความเสี่ยงของกองทุนรวมและตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน และได้จัดตั้งกลไกช่วยเหลือกองทุนรวมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน (Mutual Fund Liquidity Facility: MFLF) และกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน และทำให้กลไกการทำงานในตลาดการเงินปรับดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวยังมีความจำเป็นที่จะเป็นหลังพิง (backstop) เพื่อให้ตลาดตราสารหนี้สามารถทำหน้าที่เป็นช่องทางการระดมทุนได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ COVID-19
- การเร่งผลักดันมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (proactive debt restructuring) เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ ซึ่งกลไกการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต้องเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจและลักษณะปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มที่ขาดสภาพคล่องชั่วคราวแต่ธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้เองเมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย กลุ่มที่จำเป็นต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทใหม่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เป็นต้น
- รวมถึงต้องสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย นอกจากนี้ ต้องเตรียมแนวทางรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้จำนวนมากด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การจัดให้มีรูปแบบกลางเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ในวงกว้างสำหรับลูกหนี้รายย่อยและ SMEs รวมทั้งกลไกรองรับการบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
นอกจากนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างออกแนวทางการจัดตั้งกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับลงทุนได้ (high yield bond fund) เพื่อสนับสนุนเงินทุนในช่วงสั้น ๆ (bridge finance) สำหรับกิจการที่ประสบปัญหาสภาพคล่องและอาจจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการระดมทุนโดยเฉพาะในช่วง COVID-19 เพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด high yield bond และเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนรายใหญ่ (high net worth) เปลี่ยนมาลงทุนผ่านกองทุนซึ่งบริหารจัดการโดยมืออาชีพแทนการลงทุนโดยตรงในตราสารดังกล่าว
- การดำเนินมาตรการเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของระบบการเงินไทย การกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังในช่วงที่ผ่านมาช่วยให้ระบบการเงินไทยแข็งแกร่งและสามารถรองรับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่หดตัวและความผันผวนในตลาดการเงินได้ อย่างไรก็ดี ภาคส่วนต่างๆ ในระบบการเงินควรให้ความสำคัญกับการประเมินความเพียงพอของ buffer ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) เพื่อเตรียมแนวทางรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า โดยที่ผ่านมา ธปท. ได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนให้ ธพ. รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เช่น การขอความร่วมมือให้ ธพ. ไม่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 2563
- และไม่ซื้อหุ้นคืนเพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อที่มีแนวโน้มด้อยลงและสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อไป ขณะที่ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงเกณฑ์ เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มีเครื่องมือที่หลากหลายมากขึ้นในการบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนรวม ด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อยู่ระหว่างการปรับปรุงเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนเพื่อดูแลความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย เพื่อส่งเสริมให้มีการบริหารความเสี่ยงด้านสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และด้านประกันภัย
ในระยะต่อไปสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอน หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ธปท. ก.ล.ต. และ คปภ. จะร่วมกันประเมินความเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนประสิทธิผลของมาตรการที่ดำเนินการไปแล้วอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทย และเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปรับตัวของผู้ประกอบการ รวมทั้งปรับแนวทางการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับความปกติใหม่ (new normal) ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจการเงินและโครงสร้างระบบการเงินที่เปลี่ยนไป