- Details
- Category: ธปท.
- Published: Wednesday, 29 August 2018 18:07
- Hits: 2524
ผู้ว่าธปท.ส่งซิกเพิ่มเป้าจีดีพีเดือนหน้า - เฝ้าระวังแรงเก็งกำไรตลาดบอนด์เหตุเงินไหลเข้าผิดปกติ
ผู้ว่าธปท.ส่งสัญญาณเพิ่มเป้าจีดีพีปี 61 ในเดือน ก.ย.นี้ หลังศก.ฟื้นตัวดีกว่าคาด ด้านทิศทางดอกเบี้ย โยนกนง.พิจารณา รับไม่สบายใจหลังเงินเข้าบอนด์ระยะสั้นสูง ระบุติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ด้านโอนเงินพร้อมเพย์ ยันขยายเพิ่มถึง 7 แสนบาท เพิ่มความสะดวกการทำธุรกิจ แต่ไม่ถึง 2 ล้านอย่างที่เป็นข่าว
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังปาฐกถาพิเศษนโยบายการเงินโดนธปท. ทิศทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ในงาน ‘Thailand Focus 2018’ ในวันนี้ว่า ในเดือนกันยายนนี้ ธปท.จะทบทวนประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีกว่าคาด สะท้อนจากจีดีพี ไตรมาส 2/2561 ขยายตัวถึง 4.8% ดีที่สุดในรอบ 5 ปี ซึ่งการขยายตัวมาจากการเติบโตดีในทุกส่วน จากการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนเอกชน
สำหรับ การดำเนินนโยบายการเงินนั้น ธปท.จะให้น้ำหนัก 3 เรื่องในการพิจารณา คือ เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้า การติดตามการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักด้วย ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังต้องติดตาม คือ การท่องเที่ยวไทย หลังจากเกิดเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต
“ไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งพอรองรับต่อความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่งไทยอาจจะมีความเข้มแข็งมากที่สุดในประเทศเกิดใหม่เลยก็ว่าได้ ทั้งเงินสำรองรัหว่างประเทศ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เรามีอธิปไตยในการกำหนดนโยบายการเงินของเราเอง ซึ่งแตกต่างจากประเทศเกิดใหม่อื่นๆตลอดจน ภาคธนาคารไทยมีการกันสำรองสูง และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี”นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นผู้พิจารณา แต่การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำนาน ก็อาจเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ขณะเดียวกัน สงครามการค้าสหรัฐและจีนก็เป็นสิ่งที่กนง.ยังต้องติดตามเช่นเดียวกัน นองจากขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ แต่ทั้งนี้ผลกระทบยังมีข้อจำกัด ขณะเดียวกันไทยก็มีโอกาสที่จะได้อานิสงส์จากการกีดกันทางการค้าเช่นเดียวกัน ซึ่งผลกระทบสงครามการค้าที่เกิดขึ้นจะเห็นผลชัดในปีหน้า
ในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่า ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากเงินทุนที่ไหลเข้ามา เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลในเรื่องต่างๆลงบ้าง ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น และในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา ธปท.พบว่า มีเงินไหลเข้ามาในตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งธปท.ยอมรับว่า ไม่สบายใจ และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“เราเห็นว่า ตอนนี้มีบอร์นระยะสั้นเข้ามาบ้านเรามากกว่าภูมิภาค ซึ่งเรายอมรับว่าไม่สบายใจ ดังนั้น เราจะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด แต่ยังไม่ได้พิจารณาใช้มาตรการปรับลดวงเงินเหมือนที่ผ่านมา แค่ยังต้องติดตาม เพราะมันเป็นลักษณะการเอาเงินมาพักไว้ที่เรา เนื่องจากตอนนี้สถานการณ์โลกมันผันผวนสูง แต่เรามีฐานะด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้เห็นว่าตอนนี้มีเงินไหลเข้ามาที่เรามากกว่าบางประเทศ”นายวิรไท กล่าว
ด้านกรณีที่มีกระแสข่าวถึงการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ได้ฟรีค่าธรรมนียมถึง 2 ล้านบาท ยืนยันว่า ธปท.สนับสนุนการขยายวงเงินผ่านการโอนระบบพร้อมเพย์ โดยตอนนี้ขยายจาก 50,000 บาท เป็น 700,000 บาทเท่านั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น แต่สำหรับค่าธรรมเนียมการโอนนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับการแข่งขันของแต่ละสถาบันการเงินว่าจะพิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียม หรือการคิดค่าธรรมเนียมอย่างไร เนื่องจากการโอนเงินที่มีวงเงินสูงจะมีความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายที่จะต้องบริหารจัดการ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย