- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Saturday, 09 August 2014 00:16
- Hits: 3235
สาลินี วังตาล ประธาน แผนฟื้นฟูเอสเอ็มอีแบงก์ ฟื้น 4 ด้าน-ตั้งอนุฯกำกับดูแล
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ ธพว. เปิดเผยว่า คณะกรรมการธพว.ชุดใหม่ที่ได้รับความเห็นชอบจาก คสช. และแต่งตั้งโดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ได้มีการประชุมนัดแรกในวันที่ 8 สิงหาคม 2557 โดยมีการพิจารณาเรื่องที่สำคัญ ดังนี้
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดย่อย เพื่อกำกับดูแลด้านต่างๆ 5 ชุด ได้แก่
1) คณะกรรมการบริหาร โดยมี นางพรรณขนิตตา บุญครอง เป็นประธาน
2) คณะกรรมการตรวจสอบ โดยมี นายอัษฎางค์ เชี่ยวธาดา เป็นประธาน
3) คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง โดยมี นายลวรณ แสงสนิท เป็นประธาน
4) คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อสรรหากรรมการผู้จัดการ ธพว.
5) คณะอนุกรรมการฟื้นฟูกิจการ ธพว.
2. จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ตามคำสั่งของคสช. โดยเน้นปรับปรุงงาน 4 ด้านสำคัญ คือ
1) การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยจัดกลุ่มลูกหนี้ตามสถานะ ได้แก่กลุ่มหนี้ NPLs กลุ่มสินเชื่อที่มีคุณภาพอ่อน และต้องมีกระบวนการดูแลใกล้ชิด
การจัดการกับลูกหนี้กลุ่ม NPLs ค้างนาน สถานะไม่ดำเนินธุรกิจไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ และเคยได้รับโอกาสปรับโครงสร้างหนี้มาหลายครั้ง กลุ่มนี้จะขออนุมัติต่อกระทรวงการคลังให้เปิดประมูลขายออกไปซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางที่ยอมรับกันในระดับสากล และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพสูง จากประสบการณ์วิกฤตสถาบันการเงินของประเทศไทยเองในปี 1997 และจาก Global crisis ในปี 2008-2012
กลุ่มลูกหนี้ที่ยังดำเนินธุรกิจ ธพว.จะใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้ หรือปรับตารางการชำระหนี้ โดยจะคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะประคับประคองให้ ลูกหนี้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพราะ SMEs เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม
2) การบริหารสินเชื่อที่มีคุณภาพดี ธพว. จะเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมผ่านช่องทางสาขาทั้ง 95 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงต้องมีการขยายตัวของสินเชื่อ เพื่อเพิ่มรายได้ของธนาคาร โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าตามพันธกิจหลัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากที่ไม่ได้รับโอกาสจากธนาคารภาคเอกชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยมีต้นทุนที่พอเหมาะพอควร
ในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2557 ธพว. พบว่า มียอดอนุมัติสินเชื่อใหม่เพียง 5,684 ล้านบาท และพบว่ามีความล่าช้าในการพิจารณา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ(Credit Process) เสียใหม่ให้มีประสิทธิภาพ มีกลไกการคานอำนาจ (Check and Balance) ที่ได้มาตรฐาน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติด้วย เพราะหากเข้มงวดจนเกินไปก็จะไม่เป็นการช่วยเหลือ SMEs ตามเจตนารมย์ของพันธกิจ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถปรับปรุงได้ เพราะพนักงานสินเชื่อของ ธพว. มีทักษะด้านสินเชื่ออย่างเพียงพออยู่แล้ว
3. การบริหารสภาพคล่อง
ธพว.มีแผนปรับโครงสร้างทางการเงิน ให้มีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้นโดยขอกู้ระยะยาวที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเชื่อมั่นว่าเมื่อปรับปรุงระบบงานด้านสินเชื่อและแก้ไข NPLs สถานะของ ธพว. จะมั่นคงขึ้นโดยลำดับ ธนาคารอาจจะขอออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ระยะยาว เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในเรื่องการบริหารแหล่งเงินทุน มีเงินมาปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งยังสามารถขอนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีภาระเงินเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังมากเกินไป
4.การสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานและจัดโครงสร้างกำลังคนให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ
ปัจจุบัน ธพว.มีพนักงาน 1,637 คน ธนาคารพยายามจะจัดให้มีพนักงานด้านหารายได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อ ธพว.ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการขายหนี้ด้อยคุณภาพออกไปบ้างแล้ว จะสามารถโอนย้ายพนักงานซึ่งทำหน้าที่ด้านแก้ไขหนี้ให้กลับมาปล่อยสินเชื่อได้ ซึ่งจะเตรียมความพร้อมโดยจัดฝึกอบรมด้านการให้สินเชื่อในภาคปฏิบัติให้พนักงานเหล่านี้
นอกจากนั้น จะพยายามปรับปรุงกระบวนการทำงาน และระบบข้อมูลทุกระบบให้เชื่อมโยงกัน ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ จะต้องจัดให้มีการสื่อสารภายในองค์กรอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ระหว่างสำนักงานใหญ่กับเขต ภาค และสาขาทั้ง 95 แห่ง เพื่อรักษาขวัญกำลังใจ และให้สาขาได้เข้าถึงและเข้าใจนโยบายและแนวทางการทำธุรกิจของธนาคารอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนถึงขั้นนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะนำมาสู่ความสำเร็จร่วมกันของ ธพว. และ SMEs ไทยในอนาคตอันใกล้นี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานสื่อสารองค์กร เอสเอ็มอีแบงก์ โทร.02-265-4564-5
บอร์ด SME Bank เข้มแผนฟื้นฟูตามคำสั่ง คสช.ฟื้น 4 ด้าน-ตั้งอนุฯกำกับดูแล
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) หรือ ธพว. กล่าวภายหลังการประชุมนัดแรกว่า ได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ตามคำสั่งของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเน้นปรับปรุงงาน 4 ด้านสำคัญ และในส่วนของคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อสรรหากรรมการผู้จัดการจะเริ่มเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจในเร็วๆนี้ และคาดว่าภายใน 1-2 เดือนหลังจากนั้นจะสรุปผลการคัดเลือกได้
สำหรับการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ได้แก่ 1.การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยจัดกลุ่มลูกหนี้ตามสถานะ ได้แก่ กลุ่มหนี้ NPLs กลุ่มสินเชื่อที่มีคุณภาพอ่อน และต้องมีกระบวนการดูแลใกล้ชิด การจัดการกับลูกหนี้กลุ่ม NPLs ค้างนาน สถานะไม่ดำเนินธุรกิจไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ และเคยได้รับโอกาสปรับโครงสร้างหนี้มาหลายครั้ง กลุ่มนี้จะขออนุมัติต่อกระทรวงการคลังให้เปิดประมูลขายออกไปราว 20,000 ล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นแนวทางที่ยอมรับกันในระดับสากล
ปัจจุบัน ธพว. มี NPLs จำนวน 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวมในปัจจุบันที่มีอยู่ 88,000 ล้านบาท
"เราจะนำเรื่องนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนฟื้นฟูขอกับกระทรวงการคลังในวันที่ 21 ส.ค. นี้ในการขายหนี้ออกไป 20,000 ล้านบาท แต่เป็นการทยอยขายไม่ใช่ขายทั้งหมดภายในครั้งเดียว ก็ต้องรอกระทรวงการคลังอนุมัติให้ขายก่อน ในตอนนี้เรามี NPLs อยู่ที่ 34,000 ล้านบาท หรือ 38% ของยอด outstanding ที่มีอยู่ 88,000 ล้านบาท และในสิ้นปีถ้าเราขายหนี้ออกไปได้ เราก็จะมี NPLs ลดลงเหลือประมาณ 14,000 ล้านบาท”นางสาลินี กล่าว
ขณะที่กลุ่มลูกหนี้ที่ยังดำเนินธุรกิจ ธพว.จะใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้ หรือปรับตารางการชำระหนี้ โดยจะคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะประคับประคองให้ ลูกหนี้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพราะ SMEs เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม
2.การบริหารสินเชื่อที่มีคุณภาพดี ธพว. จะเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมผ่านช่องทางสาขาทั้ง 95 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงต้องมีการขยายตัวของสินเชื่อ เพื่อเพิ่มรายได้ของธนาคาร โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าตามพันธกิจหลัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากที่ไม่ได้รับโอกาสจากธนาคารภาคเอกชนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยมีต้นทุนที่พอเหมาะพอควร
3.การบริหารสภาพคล่อง ทางธพว.มีแผนปรับโครงสร้างทางการเงิน ให้มีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้นโดยขอกู้ระยะยาวที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเชื่อมั่นว่าเมื่อปรับปรุงระบบงานด้านสินเชื่อและแก้ไข NPLs สถานะของ ธพว. จะมั่นคงขึ้นโดยลำดับ ธนาคารอาจจะขอออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ระยะยาว เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในเรื่องการบริหารแหล่งเงินทุน มีเงินมาปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งยังสามารถขอนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีภาระเงินเพิ่มทุนจากกระทรวงการคลังมากเกินไป
“ในแต่ละปีกระทรวงการคลังก็จะมีการจัดสรรงบประมาณเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขที่ว่า ธพว.ต้องมีการบริหารและจัดการตัวเองให้ดี แต่เราอยากใช้วิธีอื่นที่ไม่ต้องใช้เงินภาษีของประชาชน การขอออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิระยะยาวจะเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ได้ดี ยังไม่แน่ใจว่าจะออกจำนวนเท่าไหร่ แต่โดยปกติจะเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ซึ่งเรามีเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ 3,300 ล้านบาท คงจะออกได้ไม่มากกว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของธนาคาร"นางสาลินี กล่าว
4.การสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานและจัดโครงสร้างกำลังคนให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ ในปัจจุบัน ธพว. มีพนักงาน 1,637 คน ธนาคารพยายามจะจัดให้มีพนักงานด้านหารายได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อ ธพว.ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการขายหนี้ด้อยคุณภาพออกไปบ้างแล้ว จะสามารถโอนย้ายพนักงานซึ่งทำหน้าที่ด้านแก้ไขหนี้ให้กลับมาปล่อยสินเชื่อได้ ซึ่งจะเตรียมความพร้อมโดยจัดฝึกอบรมด้านการให้สินเชื่อในภาคปฏิบัติให้พนักงานเหล่านี้
ที่ประชุมยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดย่อย เพื่อกำกับดูแลด้านต่างๆ 5 ชุด ได้แก่ 1.คณะกรรมการบริหาร โดยมี นางพรรณขนิตตา บุญครอง เป็นประธาน 2.คณะกรรมการตรวจสอบ โดยมี นายอัษฎางค์ เชี่ยวธาดา เป็นประธาน 3.คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง โดยมี นายลวรณ แสงสนิท เป็นประธาน 4.คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อสรรหากรรมการผู้จัดการ ธพว. 5.คณะอนุกรรมการฟื้นฟูกิจการ ธพว.
นางสาลินี กล่าวถึงผลการดำเนินงานของ ธพว.ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 57 มียอดอนุมัติสินเชื่อใหม่เพียง 5,684 ล้านบาท และพบว่ามีความล่าช้าในการพิจารณา ทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ(Credit Process)ใหม่ให้มีประสิทธิภาพ มีกลไกการคานอำนาจ (Check and Balance) ที่ได้มาตรฐาน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติด้วย เพราะหากเข้มงวดจนเกินไปก็จะไม่เป็นการช่วยเหลือ SMEs ตามเจตนารมย์ของพันธกิจ
ทั้งนั้ ธนาคารประเมินว่าการปล่อยสินเชื่อใน 4-5 เดือนสุดท้ายจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา หลังจากมีการจัดทำแผนฟื้นฟูสำเร็จ และการตั้งเงินสำรองส่วนเกิน NPLs ที่ ธพว.มีอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ใน 6 เดือนแรก ธพว.ตั้งไปแล้ว 782 ล้านบาท
“สิ้นปีนี้สินเชื่อ SMEs ของธนาคารเราก็ยังขยายตัวได้ แต่ไม่อยากให้นำไปเทียบกับธนาคารพาณิชย์ที่เขาแข็งแกร่งและเก่งแล้ว เพราะเราเป็นธนาคารรัฐ โดยปกติมีการขยายตัวขิงสินเชื่อที่ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว และธนาคารเราก็ยังต้องมีการทำการฟื้นฟูอีก ไม่อยากให้ไปเปรียบเทียบกันในขณะนี้”นางสาลินี กล่าว
อินโฟเควสท์