- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Tuesday, 01 November 2016 23:39
- Hits: 8464
KTB มั่นใจปี 59 กำไรก่อนสำรองแตะ 6 หมื่นลบ.แต่สินเชื่อยังติดลบ 3-5% ส่วนปี 60 ตั้งเป้าสินเชื่อโต 3% หวังรัฐเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
'วรภัค'ส่งท้ายการทำงาน 4 ปี ยังมั่นใจปี 59 ทำกำไรก่อนสำรองแตะ 6 หมื่นล้านบาท หลัง 9 เดือนแรก ทำกำไรได้แล้ว 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่สินเชื่อปีนี้ ยังติดลบ 3-5% จากช่วง 9 เดือน ติดลบ 6% จากเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และการลงทุนภาครัฐยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่มั่นใจว่าปีหน้า สินเชื่อจะเติบโต 3% ภายใต้เศรษฐกิจที่ขยายตัว 3% โดยรัฐเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมยอมรับยังต้องตั้งสำรองเพิ่มต่อเนื่อง วางเป้าอีก 3 ปี coverate ratio แตะ 130% พร้อมฝากว่าที่เอ็มดีคนใหม่ สานงานที่ยังค้างอยู่ และขอให้องค์กรปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง
ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 60 และ แนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 59 โดยมีนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายผยง ศรีวณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน เป็นผู้ให้ข้อมูล ยอมรับว่า ในปี 59 สินเชื่อรวมของธนาคารจะติดลบอยู่ที่ 3-5% หลังจากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สินเชื่อรวมติดลบ 6% ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัว และ สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐหดตัว หลังโครงการลงทุนต่างๆของรัฐยังไม่ได้ออกมาอย่างชัดเจน ประกอบกับ สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องหลังผู้ประกอบการไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม แต่หันไประดมเงินโดยออกหุ้นกู้ เพื่อรีไฟแนนซ์ ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อย ธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จากความกังวลในเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
"9 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อของธนาคารติดลบไปแล้ว 6% ซึ่ง่ทั้งปีนี้ยังมองว่าอาจติดลบเหลือ 3-5% เพราะไตรมาส 4/59 เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น อย่างไรก็ตาม ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา พอร์ตสินเชื่อ 50% ที่เกี่ยวกับการลงทุนภาครัฐติดลบ เพราะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้นที่ชัดเจน อีก 50% กระจายไปในสินเชื่อรายใหญ่ ซึ่งไม่มีการลงทุน ทำให้สินเชื่อส่วนนี้ก็ยังชะลอตัว ส่วนลูกค้าเอสเอ็มอี และ รายย่อยก็กังวลเรื่อง NPL ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เข้มงวดในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งตอนนี้อัตราการปฎิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 30% เมื่อเทียบกับแบงก์อื่นอยู่ที่ 20-30%" นายวรภัค กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 60 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรวมจะสามารถพลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ 3% โดยได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างๆของภาครัฐที่ธนาคารคาดว่าจะมีความชัดเจน และ มีการลงทุนมากขึ้นกว่าปีนี้ ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจไทยปี 60 ขยายตัวอัตรา 3%
สำหรับ การตั้งสำรองหนี้สูญของธนาคารยังคงะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยธนาคารมีการตั้งสำรองฯเฉลี่ย 1 พันล้านบาท/เดือน ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาธนาคารตั้งสำรองไปแล้วที่ 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูง เนื่องจากต้องการบริหารความเสี่ยง และ รักษาระดับอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (Coverage Ratio) ให้เพิ่มขึ้น จากช่วง 9 เดือนา Coverage Ratio ของธนาคารอยู่ที่ 105% และมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 130% ภายใน 3 ปี(60-62) ใกล้เคียงกับระบบธนาคารพาณิชย์
"NPL ในไตรมาส 4/59 จะยังทรงตัวจากไตรมาส 3/59 ที่อยู่ในระดับ 4.2% และ มองว่า NPL จะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงกลางปี 60 โดยเป็นผลมาจากคุณภาพหนี้ของกลุ่มสินเชื่อเอสเอ็มอี และ รายย่อย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นปกติของ NPL หลังเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวมาก่อนหน้านี้"นายวรภัค กล่าว
ส่วนกำไรก่อนการตั้งสำรองในปี 59 คาดว่ จะอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท หลังจาก 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรก่อนการตั้งสำรองไปแล้ว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากพอร์ตสินเชื่อของธนาคารที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อกระจายตัวไปในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก และ ลูกค้ารายย่อยที่ให้ยีลด์สูงเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้ารายใหญ่มีการออกหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้นในปีนี้ ทำให้มีรายได้จากการเป็นอันเดอร์ไรท์ในการออกหุ้นกู้ และ ธนาคารกรุงไทยยังคงเป็นธนาคารอันดับที่ 2 ของตลาดที่มีการให้บริการออกหุ้นกู้ของผู้ประกอบการขนาดใหญ่
นายวรภัค ยังกล่าวถึงการทำงานในธนาคารกรุงไทย ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาก่อนที่จะหมดวาระการทำงาน (8 พ.ย. 55 – 7 พ.ย. 59) ว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานต่างๆโดยเฉพาะระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource) และ ระบบการติดตามข้อมูล (Data) อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของพนักงานของธนาคารที่ใช้ผลงานเป็นตัวประเมินผลในเรื่องของผลตอบแทน และ ความก้าวหน้าทางการงานให้มีความความสัมพันธ์กับผลงานและศักยภาพของพนักงานแต่ละคนรวมไปถึงการกระจายอำนาจให้กับผู้บริหารในระดับต่างๆ
นอกจากนี้ ยังได้มีการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของธนาคารกรุงไทยจาก 'ธนาคารสะดวก ชีวิตสบาย เน้นการบริการ'ป็น’กรุงไทย ก้าวไกล ไปกับคุณ’หรือ ‘Growing Together’เพื่อให้พนักงานเกิดประสิทธิภาพ และ มีความสามารถในการดูแลลูกค้า ช่วยลูกค้าให้มีการเติบโตอย่างมั่งคั่ง และมั่นคง โดยการเติบโตของลูกค้าจะเป็นการเติบโตไปพร้อมกับธนาคาร และ พนักงานทุกคนรวมไปถึงสร้างการเติบโตให้กับประเทศด้วย ทั้งนี้การทำงานของพนักงานหน้าบ้านและหลังบ้าน มีสัดส่วนที่ 70:30 เพื่อทำให้มีพนักงานที่มีส่วนเรื่องการให้บริการและการขายมากขึ้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับธนาคารเพิ่มมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน การพัฒนาศักยภาพของคนต้องควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานด้วย โดยได้มีการกระจายกลุ่มลูกค้าไปเอสเอ็มอีและรายย่อยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูุกค้าที่ให้ยีลด์สูง จากเดิมที่ธนาคารมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ในส่วนการให้บริการผู้ประกอบการรายใหญ่ธนาคารได้หันมาเน้นการให้บริการอื่นนอกเหนือจากการให้สินเชื่อทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้กำไรก่อนการตั้งสำรองของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 55 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท จนปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาท
"ความภูมิใจสูงสุดที่ได้เข้ามาทำงานที่ธนาคารกรุงไทยนอกจากการต้อนรับที่ดีแล้ว คือ ความร่วมมือ และ การยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสหภาพกรุงไทยและพนักงานทุกคน แต่การที่จะทำให้เขายอมรับได้นั้นเราต้องฉายภาพให้เขาเห็นทำให้เขาเกิดการยอมรับ ซึ่งผมต้องยอมรับว่าสหภาพกรุงไทยมีความแข็งแกร่งมากแต่เขาก็ให้ความร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงของผมเป็นอย่างดีเพราะเขาเห็นภาพเช่นเดียวกันแต่น่าเสียดายที่ในช่วงท้ายเศรษฐกิจหดตัวทำให้สิ่งที่ผมลงมือทำเพื่อประโยชน์ของธนาคารเห็นผลช้าไป"
ทั้งนี้ นายวรคภัค ยังได้ส่งต่องานที่ยังค้างอยู่แต่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านให้กับ นาย ผยง ศรีวณิช ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ให้สานต่อ และ ต่อยอดในสิ่งที่ยังทำยังไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมั่นในฝีมือของนายผยง ซึ่งแม้มาอยู่ธนาคารกรุงไทยไม่ถึง 2 ปี แต่ก็เป็นที่ยอมรับขององค์กร แต่สิ่งที่อยากจะฝากถึงคือไม่ต้องการให้มีการแทรกแซงจากการเมืองเกิดขึ้นเหมือนกับที่ตนเองทำงานมา 4 ปีที่ ไม่มีการแทรกเกิดขึ้นเลย เพราะได้ขอตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานแล้วว่าไม่อยากให้มีการแทรกแซงทางการเมืองในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับกลาง และ ระดับสูงรวมไปถึงการโยกย้ายต่างๆ เพราะอยากให้คนมีฝีมือจริงๆเข้ามาทำงาน เพื่อผลักดันองค์กรให้เติบโต
"หากมีการแทรกแซงทางการเมืองเกิดขึ้นจนเป็นที่น่าสงสัยก็หวังว่านักข่าวจะช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ เพื่อช่วยการแทรกแซงทางการเมืองในธนาคารกรุงไทยไม่เกิดขึ้น และให้คุณผยงทำงานได้อย่างราบรื่น มีทีมงานที่มีฝีมือเข้ามาทำงาน เพื่อทำให้ธนาคารกรุงไทยที่ถือเป็นธนาคารอันดับต้นๆของประเทศ และ เป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจ ช่วยให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และ ทำให้ประเทศไทยมีการเติบโตก้าวหน้าขึ้น" นายวรภัค กล่าว
ด้านนายผยง ศรีวณิช จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในวันที่ 8 พ.ย. 59 ซึ่งเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์และกระบวนการทำงานของนายวรภัค ได้วางเป้าหมายการทำงานที่ต้องการผลักดันให้ธนาคารกรุงไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่จะไม่เร่งให้มีการเติบโตจนเกินไป ซึ่งจะต้องดูความเหมาะสมในเรื่องศักยภาพของบุคคลากรในองค์กร ความพร้อมของธนาคาร และ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ แต่ยังต้องมีการให้บริการลูกค้าอย่างมีคุณภาพควบคู่ไปกับการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และ การดำเนินภารกิจที่มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นตามนโยบาย National e-Payment ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการชำระเงิน ในส่วนของแผนการดำเนินงานปี 60 จะมีการนำเสนอต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยแผนการดำเนินงานของธนาคารกรุงไทยยังคงเน้นการเติบโตมั่นคงและยั่งยืน
"การทำงานของผมจะเป็นการสานต่อสิ่งที่คุณวรภัคได้ทำไว้แล้วมาทำต่อให้สมบูรณ์และต่อยอดซึ่งยังมีอะไรที่ยังต้องทำอีกเยอะ และ ต้องมีการทำให้ธนาคารเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เราจะไม่เหยียบคันเร่งมาก เราต้องมีความสมดุลดูองค์ประกอบ และ สภาวะแวดล้อมต่างๆแต่การบริการลูกค้าก็ยังคงต้องมีคุณภาพรวมไปถึงการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น" นายผยง กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย