- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Wednesday, 26 November 2014 23:52
- Hits: 4019
กสิกรไทย เปิดแผนธุรกิจปี 58 ประกาศเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม ตั้งเป้าสินเชื่อโต 8-9%
ธนาคารกสิกรไทยเปิดแผนธุรกิจปี 2558 ชูยุทธศาสตร์ผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งและบริการด้านธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Banking) พร้อมประกาศความเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสามด้วยเครือข่ายบริการทั่วภูมิภาค เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนหมุนเวียนในธุรกิจข้ามชาติระหว่างไทยและภูมิภาค ตั้งเป้าภาพรวมสินเชื่อขยายตัว 8-9% สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเป็น 40% ดูแลสัดส่วน NPL ไม่เกิน 2.3% ครองอันดับหนึ่งการเป็นธนาคารหลักของลูกค้าทุกกลุ่ม มั่นใจเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ คาดการณ์ปี 2558 จีดีพีโตในกรอบ 3.5-4.5%
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2557 อัตราการขยายตัวของจีดีพีคาดว่าจะต่ำกว่า 1.6% จากการที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวล่าช้า สำหรับแนวโน้มในปี 2558 อัตราการขยายตัวของจีดีพีจะอยู่ในกรอบประมาณการที่ 3.5-4.5% โดยมีแรงส่งจากการฟื้นตัวของแรงขับเคลื่อนในประเทศ นำโดยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ โดยคาดว่าการมูลค่าการลงทุนโดยรวมจะขยายตัวจากปี 2557 ที่ 6% ทั้งนี้ ผลกระทบจากการที่ประเทศแกนนำทางเศรษฐกิจของโลกยังฟื้นตัวไม่พร้อมกัน มีเพียงสหรัฐอเมริกาที่ขยายตัวโดดเด่น จึงคาดว่าปีหน้ามูลค่าการส่งออกไทยจะขยายตัวจากปี 2557 ที่ 3.5%
สำหรับ เหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง คือ การเปิดเสรีการค้าในภูมิภาคอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปลายปี 2558 ซึ่งจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะขยายตัวกว่า 5.2% และจะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก ขณะเดียวกันกลุ่ม AEC+3 (รวมจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ซึ่งมีขนาดจีดีพีรวมเป็นสัดส่วน 25% ของจีดีพีโลก จะเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับที่ 1 ของไทย และกำลังดำเนินนโยบาย “Going out Policy” คือผลักดันให้ธุรกิจจีนขยายการลงทุนไปต่างประเทศ และบทบาทของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับที่ 3 ของไทย และมีนโยบาย “Thailand Plus One” คือการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน แต่ได้มีการย้ายฐานการผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปยังประเทศกลุ่มเพื่อนบ้าน CLMV+I (อินโดนีเซีย) ที่มีข้อได้เปรียบไทยเรื่องต้นทุนและจำนวนแรงงาน
นายปรีดี กล่าวว่า ภายใต้บริบทดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยได้กำหนดเป้าหมายธุรกิจปี 2558 ที่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาค โดยธนาคารตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดยรวมอยู่ที่ 8-9% อัตราส่วนผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ที่ 3.5-3.7% มีอัตราส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Non-Interest Income Ratio) ที่ 40% และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม หรือ NPL ที่ระดับ 2.2-2.3% รวมทั้งตั้งเป้าหมายครองอันดับหนึ่งการเป็นธนาคารหลักของลูกค้าทุกกลุ่ม รักษาตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งด้านดิจิตอลแบงกิ้งและบริการด้านธุรกรรมทางการเงิน และการเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม 'AEC+3 Bank'ที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการลงทุนและธุรกรรมข้ามชาติที่จะเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลในภูมิภาคนี้
นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากเป้าหมายทางธุรกิจของธนาคาร ในปี 2558 ดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะมุ่งเน้น 4 ด้านสำคัญ เพื่อผลักดันธุรกิจของธนาคารให้ไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ได้แก่
1.การเป็นอันดับหนึ่งด้านธนาคารหลักของลูกค้า (Customer’s Main Bank) ในทุกกลุ่มลูกค้า และมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจากผลสำรวจด้านการเป็นธนาคารหลักของลูกค้าและความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยจัดอยู่ในกลุ่มผู้นำมาอย่างต่อเนื่อง และจะรักษาความเป็นผู้นำต่อไป โดยการส่งมอบบริการทางการเงินและการให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ภายใต้แนวคิดการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity)
2. การเน้นย้ำเรื่องบริการที่เป็นเลิศตามแนวคิด'บริการทุกระดับประทับใจ' และการเสริมสร้างตำแหน่งทางการตลาดนี้ให้แข็งแกร่ง ธนาคารมุ่งเน้นการเสริมสร้างแบรนด์เพื่อเน้นย้ำการให้บริการที่เป็นเลิศ ตามแนวคิด'บริการทุกระดับประทับใจ' เพื่อยกระดับการให้บริการให้มีความโดดเด่น โดยได้มีการตั้งสายงานการให้บริการลูกค้า (Customer Service Fulfillment Division: CSF) เพื่อดูแลยุทธศาสตร์ในด้านนี้อย่างเจาะจง
3. การเป็นผู้นำ การให้บริการทางการเงินในโลกดิจิตอล (Digital Banking) และบริการธุรกรรมทางการเงิน (Transaction Banking) จากผลสำรวจด้าน Digital Banking Perception ธนาคารกสิกรไทยเป็นอันดับ 1 และธนาคารฯ มุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ โดยการพัฒนานวัตกรรมบริการดิจิตอลแบงกิ้งให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของกลุ่มลูกค้ารายย่อย และการพัฒนาบริการด้านธุรกรรม หรือ Transaction Banking โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ ในยุค Digital Economy ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของความปลอดภัยด้านข้อมูลสูงสุด เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นผู้นำในด้านการให้บริการทางการเงินในโลกดิจิตอล และบริการ Transaction Banking ซึ่งถือเป็นรายได้ที่มีความสำคัญต่อธนาคาร
4. การเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม AEC+3 Bank' เพื่อตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจซึ่งมาจากการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมถึงโอกาสทางธุรกิจกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ หรือ AEC+3 ธนาคารมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และมีเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารหลักของลูกค้าสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ และการชำระเงินข้ามประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+ 3
ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีสำนักงานต่างประเทศในกลุ่มประเทศ AEC+3 และประเทศอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 16 แห่ง แบ่งเป็น ธนาคารท้องถิ่น 1 แห่ง ได้แก่ สปป.ลาว สาขา 6 แห่ง ได้แก่ สาขาเซินเจิ้น สาขาย่อยหลงกั่ง เซินเจิ้น สาขาเฉิงตู สาขาฮ่องกง สาขาลอสแองเจิลลิส สาขาหมู่เกาะเคย์แมน สำนักงานผู้แทน 7 แห่ง ได้แก่ สำนักงานผู้แทนปักกิ่ง สำนักงานผู้แทนเซี่ยงไฮ้ สำนักงานผู้แทนคุนหมิง สำนักงานผู้แทนย่างกุ้ง สำนักงานผู้แทนฮานอย สำนักงานผู้แทนโฮจิมินห์ สำนักงานผู้แทนโตเกียว และที่กำลังเตรียมการจัดตั้ง ได้แก่ สำนักงานผู้แทนจาการ์ตา สาขาพนมเปญ สำหรับเครือข่ายธนาคารพันธมิตรมีจำนวน 66 ธนาคาร ใน 9 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมัน อิตาลี ลาว เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย
สำหรับ เป้าหมายทางธุรกิจของการเป็นธนาคารแห่งเออีซีบวกสาม “AEC+3 Bank ในปี 2558 ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักลงทุนจีนในประเทศไทย 471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2557 รายได้จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย 1,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% พร้อมตั้งเป้าหมายยอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-จีน ผ่านธนาคารกสิกรไทย 396,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ยอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น ผ่านธนาคารกสิกรไทย 156,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และมียอดธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศไทย-อาเซียน ผ่านธนาคารกสิกรไทย 185,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%
ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของธนาคารกสิกรไทยในประเทศจีน ในปี 2558 คาดว่าจะมียอดธุรกรรมระหว่างประเทศผ่านธนาคารกสิกรไทย 8,000 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2557 มียอดสินเชื่อ 3,750 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 44% และยอดเงินฝาก 4,950 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 106% ส่วนเป้าหมายการดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ในปี 2558 คาดว่าจะมียอดธุรกรรมระหว่างประเทศผ่านธนาคารกสิกรไทย 3,000 ล้านบาท มียอดสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% และมียอดเงินฝาก 250 ล้านบาท
นายธีรนันท์ กล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารคาดว่าจะมีความต้องการเม็ดเงินลงทุนหลายโครงการ ทั้งการค้าระหว่างประเทศ (Trade Volume) ในอาเซียนที่มีมูลค่ารวมกว่า 11 ล้านล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนเมืองในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกที่มีสัดส่วนการเติบโตกว่า 10% โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใสในปี 2558 ได้แก่ ธุรกิจกลุ่มวัสดุก่อสร้าง สื่อสารโทรคมนาคม ค้าปลีกสมัยใหม่ และค้าปลีกตามแนวชายแดน ท่องเที่ยวและธุรกิจด้านสุขภาพ และ ส่งออกสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น รถยนต์ สินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น อาหารแปรรูป ซึ่งธนาคารฯ พร้อมจะเข้าไปให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจบรรษัทและเอสเอ็มอี รวมทั้งบริการที่รองรับการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้ารายย่อย และมั่นใจว่าในปี 2558 จะเป็นปีสำคัญที่ธนาคารกสิกรไทยจะเติบโตอย่างมั่นคง และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้ได้แน่นอน
KBank vows to become the leading 'AEC+3 Bank'with 2015 lending growth of 8-9%
KASIKORNBANK announced its 2015 plan to maintain the Bank’s position as the top player in digital financial services and transaction banking, while becoming the “AEC+3 Bank” with a service network across the region to support cross-border investments between Thailand and other regional countries. The Bank’s lending growth target in 2015 is 8-9 percent with non-performing loan (NPL) ratio not exceeding 2.3 percent, while non-interest income represents 40 percent of total revenues. Whilst adhering to a strategic direction to be “Customers’ Main Bank” across all segments, KBank is set to grow in line with the GDP growth which is projected at 3.5-4.5 percent in 2015.
According to KBank President Mr. Predee Daochai, Thai economic growth will likely stand lower than 1.6 percent in 2014 due mainly to sluggish export and tourism sectors. The 2015 GDP growth is expected to reach somewhere between 3.5-4.5 percent, driven mainly by government spending and investments, thereby boosting total investments to grow 6 percent over-year. However, Thai exports may increase only 3.5 percent next year, due to mixed signs of global economic recovery, wherein a turnaround is witnessed in the US only.
The inception of ASEAN Economic Community (AEC) in 2015 has come under the worldwide spotlight and is hopeful to attract a large sum in foreign direct investments to the region. The regional economic growth is likely to expand at least 5.2 percent in 2015, making it the fifth largest global economy. The AEC+3 (including China, Japan and South Korea) with a combined GDP accounting for a fourth of the world’s economy will play a greater role in the economic advancement of Thailand and the region. China, in particular, has been Thailand’s number one export destination and is pursuing the “Going out” policy for its companies foreshadowing significant overseas expansion. Japan, which is our third largest export market, is using Thailand as its ASEAN production hub under the “Thailand plus one” policy. At the same time, Japan is moving labor-intensive manufacturing bases for goods or product parts to our neighboring countries including CLMV group + I (Cambodia, Lao PDR, Malaysia and Vietnam + Indonesia) where manpower is relatively cheaper and more abundant.
In light of this, Mr. Predee said KBank 2015 business goal has been set in tandem with economic conditions of Thailand and the region, with lending growth of 8-9 percent, net interest market (NIM) at 3.5-3.7 percent, non-interest income ratio at 40 percent and NPL ratio at 2.2-2.3 percent. The Bank will focus on its strategic direction of maintaining itself as “Customers’ Main Bank” across all segments, while maintaining its leadership of digital and transaction banking businesses. KBank vows to become the “AEC+3 Bank” with strong potential to service fast-growing cross-border investments and transactions in the region.
According to Mr. Teeranun Srihong, KBank President, four major strategic directions have been stipulated to achieve the Bank’s business goals in 2015:
1. To be “Customers’ Main Bank” across all segments with strong branding: According to recent industry surveys on customers’ main bank and brand strength, KBank has been one of the market leaders and will keep its leading position via professional financial and advisory services offered to all customer segments, under the “Customer Centricity” concept.
2. To place importance on business operations under the “excellent service” concept and to strengthen this market position: Brand awareness will be raised to emphasize the excellent service concept for the Bank’s outstanding service standard. Therefore, the Customer Service Fulfillment Division (CSF) has been established to implement this strategy.
3. To keep its leadership in digital and transaction banking services: According to a survey on perceptions of digital banking, KBank has been named the top player. The Bank aims to maintain its leadership in this business with innovative digital banking advancement to service the daily lifestyles of retail customers, while enhancing technology-based transaction banking services - with maximum information security - to efficiently satisfy the needs of SMEs and major corporate customers in the digital economy era. As the leader in digital financial and transaction banking services, satisfactory fee income is targeted.
4. To become the “AEC+3 Bank”: In responding to high-growth business potential upon the AEC roll-out, along with business opportunities with China, Japan and South Korea under the AEC+3 bloc, KBank plans to be a comprehensive business partner, servicing the needs of all customer segments. Therefore, the Bank aims to become the “Customers’ Main Bank” for foreign and cross-border transactions for all of the AEC+3 member states.
KBank now operates 16 overseas offices which are scattered across AEC+3 nations and elsewhere, comprising one locally incorporated bank in Lao PDR, six branches in Shenzhen, Chengdu, Hong Kong, Los Angeles, Cayman Islands and Longgang (sub-branch), and seven representative offices in Beijing, Shanghai, Kunming, Yangon, Hanoi, Ho Chi Minh, and Tokyo. The Bank is also arranging to set up two other representative offices in Jakarta and Phnom Penh. The Bank has established cooperative arrangements with 66 banks from nine countries, including China, Japan, South Korea, Germany, Italy, Lao PDR, Vietnam, Cambodia and Indonesia.
In order to realize its ambition in becoming the “AEC+3 Bank”, KBank, in 2015, is set to earn 471 million Baht from providing financial facilities for Chinese investors in Thailand, growing 16 percent from 2013 and 1.13 billion Baht for Japanese investors, also swelling 16 percent. The Bank also hopes for a 10-percent increase in total Thai-Sino and Thai-Japanese trade transactions via its offices to 396.71 billion Baht and 156.59 billion Baht, respectively. With ASEAN states, KBank expects to handle total bilateral trade transactions of 185.57 billion, climbing 34 percent.
In China, international transactions via KBank next year are targeted at 8 billion Yuan, soaring 60 percent from this year, with loans totaling 3.75 billion Yuan, or a surge of 44 percent. Deposits should amount to 4.95 billion Yuan, representing a 106-percent expansion. Upbeat prospects are also expected in Lao PDR, where transactions via KBank may total 3.0 billion Baht, with loans equaling 1.0 billion Baht – a rise of 150 percent, and 250 million Baht in deposits.
Mr. Teeranun summed up that funding demands will be amplified by the implementation of numerous projects. Intra-ASEAN trade volume will likely reach a combined value of over 11 trillion Baht, while state infrastructure projects are worth 2.4 trillion Baht. Domestic buoyancy may also be expected from the wave of urbanization in upcountry, particularly in the North Eastern and Eastern parts of Thailand where the growth is over 10 percent. Trending businesses in 2015 include construction materials, telecommunications, modern trade and border retail, tourism, health and exports of value-added merchandise, e.g., automobiles, lifestyle products, processed foods. The Bank is committed to providing financial assistance for corporations and SMEs, as well as services that support retail customers. The Bank is confident that 2015 will be another prosperous year to realize robust growth that will undoubtedly meet business targets, said Mr. Teeranun.