WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

2665 UOB Wee Ee Cheong

ยูโอบีประกาศกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 อยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งทั่วแฟรนไชส์และคุณภาพของสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี

กำไรสุทธิไตรมาส 4 ลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนจากรายได้จากการค้าและการลงทุนที่ลดลง

          กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศรายได้รวมที่ 9.79 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.07 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2564 สภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน ปริมาณกิจกรรมทางธุรกิจ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ต่างปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยูโอบีในปี 2564 แข็งแกร่งในทุกกลุ่มลูกค้าและภูมิภาค

          ในปี 2564 รายได้จากค่าธรรมเนียมพุ่งขึ้นสูงสุดแตะ 2.41 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์จากผลการดำเนินการที่โดดเด่นของกิจกรรมด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่งและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการปล่อยสินเชื่อ ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิคงที่ที่ร้อยละ 1.56 ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและการจัดการงบดุลเชิงรุก คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนอัตราสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) คงที่ที่ร้อยละ 1.6

          รายได้จากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 อยู่ที่ 4.39 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สืบเนื่องจากความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่แฟรนไชส์ลูกค้าที่แข็งแกร่งของธนาคารช่วยหนุนนำให้สินเชื่อและค่าธรรมเนียมจากลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และลูกค้าสถาบันการเงินเติบโตขึ้น รายได้ข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 กิจกรรมทางธุรกิจต่างเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปีจากการที่ลูกค้าเริ่มหันมาใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการเชื่อมต่อและเครือข่ายระดับภูมิภาคของธนาคารเพิ่มมากขึ้น

          รายได้จากกลุ่มลูกค้ารายย่อยอยู่ที่ 4.11 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของกิจกรรมด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่งและบัตรเครดิต ที่มาช่วยชดเชยผลกระทบจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ยรับและดอกเบี่ยจ่ายที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.39 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยร้อยละ 57 เป็นลูกค้าจากต่างประเทศที่ได้รับบริการจากเครือข่ายศูนย์บริหารจัดการความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคาร การเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศไทย และเวียดนามเมื่อไม่นานมานี้จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรจากฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและการปลดล็อกการผสานความสามารถทางธุรกิจ (Business synergy)

          ในปี 2564 กลยุทธ์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนของธนาคารก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก นอกจากจะบรรลุความพยายามในการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ (Operational carbon neutrality) แล้ว ธนาคารยังได้เปิดตัวโซลูชันเพื่อการเข้าถึงเงินทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลายโครงการซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ส่งผลให้มูลค่ารวมของพอร์ตโฟลิโอการเข้าถึงเงินทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้นแตะ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปี 2564 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2566 ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ธนาคารจึงได้ปรับเป้าหมายมูลค่ารวมของพอร์ตโฟลิโอนี้เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ภายในปี 2568 ในด้านการลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มูลค่ารวมสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของการลงทุนที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลเพิ่มสูงเป็น 9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในช่วงระหว่างปี

          คณะกรรมการจึงเสนอจ่ายเงินปันผลที่ 60 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลอีก 60 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ รวมเงินปันผลทั้งหมดสำหรับปี 2564 คิดเป็น 1.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินตอบแทนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 49

 

BANPU 720x100

 

          สารจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

          นาย วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่าเราก้าวเข้าสู่ปีที่สามของภาวะโรค-ระบาดในขณะที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินการโดยรวมได้กลับสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพ กำไรสุทธิปี 2564 ของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงที่ร้อยละ 40 พร้อมๆ กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ กิจกรรมทางธุรกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น

          “เราเชื่อว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านไปแล้ว ในสิงคโปร์ เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาด ทั้งจากการเติบโตของสินเชื่อสถาบันที่เด่นชัดและการกลับมาของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและกิจกรรมด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เราเห็นตัวเลขที่ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าอัตราการฟื้นตัวจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ความเชี่อมั่นที่เรามีต่อภูมิภาคนี้ได้รับการตอกย้ำจากการทำงานอย่างต่อเนื่องในการหยั่งลึก และปรับขยายแฟรนไชส์สูกค้ายิ่งขึ้นผ่านการเติบโตทั้งจากภายในและการซื้อกิจการ

          “โอกาสในการเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศไทย และเวียดนามมาถึงในเวลาที่เหมาะภายใต้กลยุทธ์ที่ใช่ หากผ่านการอนุมัติตามกฎระเบียบ การซื้อกิจการครั้งนี้จะช่วยขยายฐานลูกค้ารายย่อยของธนาคารในตลาดทั้งสี่แห่งขึ้นเป็นเท่าตัว ในขณะเดียวกัน เราจะยังลงทุนในศักยภาพต่างๆ อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalisation) เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มทางโครงสร้างในขับเคลื่อนการเติบโตของธนาคารในภูมิภาค งบดุลของธนาคารที่แข็งแกร่ง การดำเนินธุรกิจอย่างมีวินัย และคุณภาพของสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดีจะช่วยให้ธนาคารอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ พร้อมกับการฟื้นตัวของภูมิภาค

 

          ผลการดำเนินงานทางการเงิน

 

2564

$m

2563

$m

YoY

+/(-)%

4Q21

$m

3Q21

$m

QoQ

+/(-)%

4Q20

$m

YoY

+/(-)%

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ

6,388

6,035

6

1,677

1,604

5

1,512

11

รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ

2,412

1,997

21

589

589

(0)

522

13

รายได้อื่นๆ

990

1,144

(13)

168

259

(35)

214

(22)

รายได้รวม

9,789

9,176

7

2,434

2,453

(1)

2,249

8

หัก: ค่าใช้จ่ายรวม

4,313

4,184

3

1,095

1,072

2

1,049

4

กำไรจากการดำเนินงาน

5,476

4,992

10

1,339

1,381

(3)

1,200

12

หัก: ค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่า

657

1,554

(58)

112

163

(31)

396

(72)

บวก: บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า

118

98

20

19

29

(35)

64

(45)

กำไรสุทธิ

4,075

2,915

40

1,017

1,046

(3)

688

48

 

          ผลประกอบการปี 2564 เปรียบเทียบกับปี 2563

          ธนาคารยูโอบีมีกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 อยู่ที่ 4.07 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและต้นทุนการให้สินเชื่อที่ลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจของสิงคโปร์และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างปี

          รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 6.39 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการเติบโตของสินเชื่อถึงร้อยละ 10 และส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายที่ยังคงที่

          รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 แตะระดับสูงสุดที่ 2.41 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการเติบโตของเกือบทุกกิจกรรมที่มากกว่าร้อยละ 10 ค่าธรรมเนียมสินเชื่อแตะระดับสูงสุดที่ 698 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการที่ธุรกรรมการค้าและการลงทุนได้รับอานิสงส์จากแรงผลักด้นภายนอกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งยังปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 823 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของนักลงทุน กิจกรรมของตลาดการเงินที่แข็งแกร่งยังส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตก็ฟื้นตัวขึ้นจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

          รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากการที่ลูกค้าหันมาป้องกันความเสี่ยงของธุรกรรมมากขึ้นและปริมาณธุรกิจที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งหักกลบแล้วยังสูงกว่ารายได้จากการค้าที่ไม่เกี่ยวกับลูกค้าที่ลดลง เนื่องจากมีรายรับจากการขายพันธบัตรและรายรับจากการป้องกันความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับรู้เป็นจำนวนมากกว่าในปีที่ผ่านมาภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง ดังนั้น รายได้อื่นๆ ที่มิใช่ดอกเบี้ยจึงลดลงร้อยละ 13 อยู่ที่ 990 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

          ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3 คิดเป็น 4.31 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลจากวินัยในการใช้จ่ายของธนาคาร โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี รวมถึงการปรับขยายการนำเสนอด้านดิจิทัลในสิงคโปร์และภูมิภาคอาเซียน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สำหรับปี 2564 ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 1.5 จุดเป็นร้อยละ 44.1

          คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงที่ เงินกันสำรองทั่วไปเชิงป้องกันในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับที่เหมาะสมส่งผลให้มูลค่าเงินกันสำรองรวมลดลงร้อยละ 58 เป็น 657 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์และต้นทุนการให้สินเชื่อปรับตัวลดลง 57 จุด อยู่ที่ 20 จุด

 

QIC 720x100

 

          เปรียบเทียบไตรมาส 4 ปี 2564 กับไตรมาส 3 ปี 2564

          กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงร้อยละ 3 อยู่ที่ 1.02 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 จากรายได้จากการค้าและการลงทุนที่ลดลง แม้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้นและเงินกันสำรองจะลดลงก็ตาม

          รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็น 1.68 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยได้รับแรงสนับสนุนส่วนใหญ่จากการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 2 รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิยังคงที่ที่ 589 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะที่ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตและและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อที่ปรับตัวสูงขึ้นถูกหักกลบจากการปรับตัวลดลงตามฤดูกาลของค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่ง รายได้จากการค้าและการลงทุนลดลงร้อยละ 43 อยู่ที่ 110 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนใหญ่สืบเนื่องจากรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกค้าที่ลดลงจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงและปริมาณธุรกรรมที่ลดลงตามฤดูกาล

          ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 อยู่ที่ 1.10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เงินกันสำรองรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 31 อยู่ที่ 112 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากการโอนกลับเงินกันสำรองทั่วไปหลังภาพรวมตลาดมีความชัดเจนและความเชื่อมั่นดีขึ้น

 

          ไตรมาส 4 ของปี 2564 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2563

          รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากการเติบโตของสินเชื่อที่ร้อยละ 10 รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่เติบโตอย่างมั่นคง รายได้อื่นๆ ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 22 อยู่ที่ 168 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่ไม่ใช่ลูกค้าลดลง

          นอกจากรายได้ที่เติบโตอย่างมั่นคงและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีวินัย อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ก็ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 46.7 เป็นร้อยละ 45.0 เงินกันสำรองรวมลดลงอยู่ที่ 112 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของเงินกันสำรองทั่วไป

 

          คุณภาพของสินทรัพย์

          ในไตรมาส 4 ปี 2564 คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพคงที่ที่ร้อยละ 1.6 อัตราส่วนเงินกันสำรองต่อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 96 หรือร้อยละ 239 หากนับรวมหลักประกัน แม้เส้นทางสู่การฟื้นตัวจะดูชัดเจนขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกันสำรองต่อสินเชื่อคุณภาพดีอย่างระมัดระวังที่ร้อยละ 1

 

          เงินทุน ฐานะแหล่งเงินทุน และสภาพคล่อง

          กลุ่มธนาคารยังคงมีสภาพคล่องและฐานะแหล่งเงินทุนที่มั่นคง โดยมีอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage ratio) ในสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ และสกุลเงินอื่นเฉลี่ยในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ร้อยละ 133 ในขณะที่อัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (Net Stable Funding ratio) อยู่ที่ร้อยละ 116 สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฏระเบียบกำหนดมาก อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากยังคงแข็งแกร่งที่ร้อยละ 87

          อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของของกลุ่มธนาคาร วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 13.5 ในขณะที่อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้อยู่ที่ร้อยละ 7.2 สูงกว่าอัตราที่กฏระเบียบกำหนดกว่าสองเท่า

 

A2665

 Click Donate Support Web

EXIM One 720x90 C JGC 720x100TU720x100sme 720x100

ais 720x100NHA720x100

เจนเนอราลี่

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!